วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เคล็ดลับ วิธีต้านโรคหวัด แบบง่ายๆ



เคล็ดลับ วิธีต้านโรคหวัด แบบง่ายๆ
1. นอนหลับให้เพียงพอ มีการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่าการนอนหลับไม่เพียงพอทำให้ จำนวนเซลล์ในร่างกายที่ทำหน้าที่ต่อต้านเชื้อโรคต่างๆ ลดลง จึงควรนอนหลับสนิททุกๆ วัน
2. ออกกำลังกาย ชอบออกกำลังกายแบบไหน เลือกได้ตามความชอบและความถนัด แล้วทำอย่างต่อเนื่องวันละครึ่งชั่วโมงช่วยเพิ่มเซลล์ที่ป้องกันโรคภัยไข้ เจ็บได้มากมาย
3. ล้างมือด้วยสบู่ โดยใส่ใจการล้างมือเป็นพิเศษก่อนรับประทานอาหาร หลังกลับนอกบ้าน หลังจากใช้ห้องน้ำสาธารณะ สัมผัสกับสัตว์ และหลังการไอหรือจาม
4. แยกเก็บแปรงสีฟัน เมื่อมีคนในครอบครัวป่วย ให้แยกเก็บแปรงสีฟันของคนป่วยออกจากของคนอื่นๆ หลังจากหายป่วยแล้ว ให้จุ่มแปรงสีฟันในน้ำเดือดเพื่อฆ่าเชื้อโรค
5. ซักผ้าเช็ดมือ ผ้าเช็ดมือต้องสะอาดเสมอ แนะนำให้ซักในน้ำร้อนทุก 3-4 วัน โดยเฉพาะในช่วงที่เป็นหวัดกันมาก
6. ดื่มน้ำให้เพียงพอ ช่วยป้องกันอาการป่วยได้ เนื่องจากน้ำทำให้เนื้อเยื่อต่างๆ ในระบบทางเดินหายใจชุ่มชื้น ซึ่งช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อโรคฝังตัว และทำให้ระบบภูมิชีวิตทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
7. เปิดหน้าต่าง เพื่อให้มีอากาศถ่ายเท ซึ่งทำให้ร่างกายได้รับสารจากธรรมชาติในอากาศไปพร้อมๆ กับไล่เชื้อโรคที่มีอยู่ด้วย ทำให้ระบบภูมิชีวิตแข็งแรงขึ้น
8. ผ่อนคลาย การทำสมาธิ หลับตา หายใจลึกๆ คิดถึงความสุข ช่วยลดความเครียด ทำให้ร่างกายไม่ป่วยง่าย
9. วิตามินซีจากธรรมชาติ แครอท กีวี ลูกเกด ถั่วเขียว ส้ม สตรอว์เบอร์รี่ บร็อคโคลี่ ดอกกะหล่ำ กะหล่ำปลีมีสารพฤกษเคมีอย่างวิตามินซีและแคโรทีนอยด์ ที่ช่วยเพิ่มภูมิชีวิตได้

เรื่องน่ารู้ วิธีจัดสวนกระถาง แบบง่ายๆ




หลักการจัดสวนกระถางมีดังนี้
-เลือกพรรณไม้ที่ต้องการสภาพแวดล้อมที่คล้ายกัน เช่น แสงแดด น้ำ เป็นต้น
-เลือกกระถางให้หลากหลาย สีสัน รูปทรง เนื่องจากเมื่อนำมาอยู่รวมกันจะช่วยสร้างความน่าสนใจ หากไม่อยากให้สวนดูเลอะเทอะ อาจคุมโทนสีของกระถาง โดยเลือกใช้แค่ 2-3 สีก็ได้
-การวางกระถาง หากเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าเหมาะกับการวางไปตามความยาวของผนัง หรืออาจวางลอยเพื่อกั้นสัดส่วนพื้นที่ใช้สอย หากเป็นรูปร่างสี่เหลี่ยมจัตุรัสและรูปร่างกลมควรวางให้เป็นจุดเด่นตามมุม ห้อง ให้ขนาดและความสูงต่างกัน
-หากเป็นกระถางขนาดเล็ก สามารถใช้เป็นกระถางแขวนแทนก็ได้

วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เกร็ดความรู้… พระราชวังต้องห้าม ประเทศจีน


พระราชวังต้องห้ามตั้งอยู่ทางทิศเหนือของจตุรัสเทียนอันเหมิน นักท่องเที่ยวสามารถเข้าสู่พระราชวังต้องห้ามได้ทางจตุรัสนี้ ผ่านประตูเทียนอันเหมิน บริเวณรอบจตุรัสเทียนอันเหมิน เรียกว่า อาณาเขตหลวง
โดยมีสิ่งก่อสร้างสำคัญอยู่โดยรอบ เช่น มหาศาลาประชาคม ในอดีต พระราชวังแห่งนี้ เป็นเขตหวงห้ามไม่ไห้ประชาชนเข้า แม้ข้าราชการชั้นสูง ยังต้องขออนุญาต เป็นกรณีพิเศษ จึงเรียกพระราชวังนี้ว่า “พระราชวังต้องห้าม”
จักรพรรดิจะทรงประทับอยู่ในพระราชวังแห่งนี้ กั้นพระองค์จากโลกภายนอก โดยมีสนมกำนัล ขันที และข้าหลวงรับใช้ ซึ่งคนเหล่านี้ต้องอาศัยอยู่ในนครต้องห้ามตลอดชีวิต เพื่อความสำราญของจักรพรรดิ
ในวังจะมีวิเสท 6,000 คน ประกอบพระกระยาหาร มีสนมกำนัล 9,000 นาง ซึ่งมีขันที 70,000 คน คอยดูแลให้ มีคำเล่าลือกันว่า พระนางซูสีไทเฮา เวลาเสวยก็จะมีพระกระยาหารถึง 148 ชุด และทรงส่งขันทีไปเสาะหาชายหนุ่มซึ่งเข้าวังแล้วจะไม่มีผู้ใดพบเห็นอีกเลย

เก็บมาฝาก ฉีดน้ำหอมฉุน ทำให้ซึมเศร้า


คณะนักวิจัยของมหาวิทยาลัยเทล อาวีฟ ที่อิสราเอล ศึกษาพบว่าผู้หญิงที่ชอบใช้น้ำหอมกลิ่นแรง เป็นระยะเวลานานๆ จะมีอาการปวดหัวและเหม่อลอย ซึ่งทางการแพทย์จัดเป็นอาการซึมเศร้าแบบหนึ่ง ผู้หญิง ที่ฉีดน้ำหอมกลิ่นฉุนจะสูญเสียความไวของประสาทการได้กลิ่น ทำให้ยิ่งใช้น้ำหอมมากขึ้น จนกลไกการปกป้องตัวเองเมื่อได้รับกลิ่นอันตราย เช่น สารเคมี เขม่า ควัน ลดลง เป็นสาเหตุของการเกิดโรคปอดหรือสารตกค้างในร่างกาย
ใครที่ชอบฉีดน้ำหอมฉุนๆ อย่าลืมเพราๆกลิ่น ลงบ้างนะคะ ^-^

วันศุกร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

บทความดีๆ วิธี ระงับความโกรธ แบบง่ายๆ

หลีกเลี่ยง : การหลีกเลี่ยงไม่ได้หมายความว่าคุณขลาดกลัว ตรงกันข้าม วิธีนี้กลับเป็นสิ่งที่แสดงวุฒิภาวะในการควบคุมอารมณ์ของคุณต่างหาก
ระบาย : ต้องรู้จักเลือกคนที่เราจะระบายด้วยนะ ควรเป็นคนที่เข้าใจ และไว้ใจได้
กิน : โดยเฉพาะอาหารจำพวกขนมหวาน เพราะมีการพิสูจน์แล้วว่า สามารถดับพิษแห่งความโกรธได้ชะงัด
ดื่ม : ดื่มเครื่องดื่มเย็นๆ รสซาบซ่า ฉ่ำใจ อาจจะเป็น น้ำเปล่า น้ำผลไม้ น้ำอัดลมเย็นเจี๊ยบสักแก้ว
หัวเราะ : หัวเราะดังๆ ให้เท่ากับความโกรธที่มันจุกอกอยู่ รับรองว่าต่อมฮาฆ่าความโกรธกระจาย
ร้องไห้ : การ ร้องไห้เป็นกลไกของร่างกายตามธรรมชาติที่ช่วยระบายความเครียด ความคับข้องในจิตใจให้หมดสิ้นไป รวมทั้งการระบายความโกรธ
ร้องเพลง : การร้องเพลงจะช่วยให้กล้ามเนื้อที่ตึงเครียดผ่อนคลาย และหายโกรธได้
พักผ่อน : หา กิจกรรมที่คุณทำแล้วเพลิดเพลิน ออกกำลังกายช้อปปิ้ง ดูหนัง ฟังเพลง อะไรก็ได้ที่ทำแล้วคุณรู้สึกว่าได้ผ่อนคลายความตึงเครียด ความโกรธ
นอนหลับ : ถ้าได้หลับเต็มอิ่มสักงีบ อารมณ์โกรธของคุณจะได้รับการปลดปล่อยโดยกลไกธรรมชาติ
ให้อภัย : การให้อภัยคือการปล่อยวาง และให้โอกาสทั้งตัวเองและผู้อื่น ให้โอกาสผู้อื่นได้แก้ตัว ปรับปรุงตัว ให้โอกาสตัวเองได้เป็นผู้ให้ ได้ฝึกนิสัย และจิตใจตัวเองให้เย็นลง
ใครทำได้ทั้ง 10 ข้อนี้ รับรองว่า เป็นคนที่มีสุขภาพจิตดี ยิ้มแย้มแจ่มใส แน่นอน ^-^

วันพุธที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2552

จริง

ลดความอ้วนด้วยวิธีการของผู้ชาย
ขั้นที่1 - ไดเอ็ทแบบผู้ชาย ไดเอ็ทแบบผู้ชาย คือ เลิกคิดถึงคำว่าไดเอ็ทไปเลย ผู้ชายน้อยคนมากที่จะคิดถึงคำนี้เวลากินอาหาร แล้วคุณก็ลืมคำสั่งสอนแบบเก่าๆไปได้เลยว่าต้องกินอาหารแบบอดๆอยากๆ ต้องไม่กินอาหารพวกแป้ง ที่ให้พลังงาน เช่นงดขนมปัง งดพาสต้า (อาหารเส้นของอิตาลี เช่น มักกะโรนี สปาเกตตี้) แทนที่จะงดกินอาหารพวกนี้ พวกผู้ชายจะงดกินขนมหวานแทน แล้วก็กินอาหารพวกนี้ตามสบาย แต่จะกินอาหารที่ชอบในปริมาณที่น้อยลง ซึ่งการกินอาหารที่ชอบได้ตามใจ จะทำให้ผู้ชายไม่กินเข้าไปมากในครั้งเดียว โดยต่างจากผู้หญิงที่ห้ามใจตัวเองมานาน พอไปเจอของถูกใจในงานเลี้ยง เลยฟาดเข้าไปมาก นักโภชนาการคนไหนๆ ก็มักจะบอกให้เรากินอาหารให้ครบห้าหมู่ เริ่มจากพวกแป้งหรือคาร์โบไฮเดรต ตามมาด้วย ผัก ผลไม้ แล้วก็เนื้อ นม ไข่ ในปริมาณพอควร รั้งท้ายด้วยไขมันและน้ำตาลในปริมาณน้อยๆ แต่พวกผู้หญิงจะไม่คิดอะไรง่ายๆแบบนี้ พวกเธอจะต้องไปสรรหาแผนการไดเอ็ทที่ต้องกินอะไร และไม่กินอะไรให้ลำบากตัวเอง แล้วก็ทุกข์ทรมานใจอยู่กับแผนการกินอาหารแบบลำบากนั้น ดังนั้น ถ้าจะเอาอย่างผู้ชาย ขั้นที่ 1 นี้ จงกินอาหารให้ครบห้าหมู่ ตามใจที่ร่างกายต้องการ คืออยากกินเท่านั้นเป็นพอ
ขั้นที่ 2 - ตัดตอนวงจรแห่งความรู้สึกผิดออกไป พวกผู้ชายไม่ค่อยมีหรอกความรู้สึกผิดอะไรเนี่ย ไม่รู้สึกกับอะไรสักอย่าง รวมทั้งเรื่องอาหารนี่ด้วย ไม่เคยมี....... ไม่เคยรู้สึก แม้จะทานเค้กช็อคโกแลตชิ้นโต กับไอศกรีมอีกครึ่งถังอยู่แหม็บๆ ส่วนพวกผู้หญิงมักจะต้องต่อสู้และหักห้ามใจตัวเองไม่ให้กินโน่นกินนี่ แล้วพอเผลอกินเข้าไป ก็มารู้สึกผิดและลงโทษตัวเองอยู่ร่ำไป ทั้งๆที่มันอาจจะไม่ถูกต้องเลย ผู้ชายอาจจะเสียใจถ้าบังเอิญกินพิซซ่ามากไปกว่าที่ตั้งใจสัก 2 เสี้ยว แต่ก็ไม่ได้เก็บเอาความเสียใจนั้นมาลงโทษตัวเอง จบมื้อแล้วก็จบไป กฏข้อนี้คือ อย่าไปเอาอารมณ์กับมันนักถ้าบังเอิญกินอาหารแบบผิดพลาดไป ผู้ชายมองอาหารว่า กินไปเพื่อให้พลังงาน หรือกินเพื่ออยู่ ไม่ใช่กินเพราะมันน่ากิน
ขั้นที่ 3 - เลิกคิดคำนวณปริมาณไขมันที่กินเข้าไป ผู้ชายส่วนใหญ่จะคิดถึงไขมันในเรื่องคุณสมบัติทั่วๆไปของมัน โดยคิดถึงความสัมพันธ์ของไขมันกับสุขภาพโดยรวม ตามทฤษฏีง่ายๆแบบนี้ 1) ไขมันหนัก เช่น เนย หรือไขมันสัตว์ มีแนวโน้มจะทำให้เราเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน ดังนั้น เราควรทดแทนด้วยการกินไขมันน้ำแทน เช่น น้ำมันมะกอก 2) ถ้าอาหารชนิดใดมีไขมันเป็นส่วนประกอบ เราก็คิดถึงมันและกินมันในสภาพนั้นๆ ไม่ต้องไปคิดหาวิธีดัดแปลงสภาพมัน เลิกคิดถึงอาหารที่แปะป้าย "โนแฟ็ต No Fat" ไม่มีไขมัน หรือ "โลว์แฟ็ต Low Fat" ไขมันต่ำ มันเป็นเรื่องตลก เพราะถ้ามันเอาไปทำแบบนั้นแล้วมันก็ไม่อร่อย ไม่น่ากินเลย ครอบครัวหนึ่งฝ่ายภรรยาคอยเฝ้าระวังไขมันแบบเอาเป็นเอาตาย จะกินโยเกิร์ตก็ต้องซื้อแบบโลว์แฟ็ต ส่วนสามีก็กินโยเกิร์ตแบบธรรมดา แต่ลองไปอ่านข้างกระปุกดูสิจะพบว่า โยเกิร์ตแบบธรรมดานั้น ให้พลังงานหรือมีแคลอรี่น้อยกว่า เพราะโยเกิร์ตแบบไขมันต่ำนั้นกลัวไม่อร่อย ก็เลยต้องทดแทนด้วยคาร์โบไฮเดรตหรือน้ำตาลเข้าไปมากกว่าปกติ แล้วด้านวิชาการก็สามารถอธิบายได้ง่ายๆว่า น้ำหนักตัวของคนเราที่เพิ่มมากขึ้นนั้น มันมาจากการกินอาหารที่มีแคลอรี่สูง ไม่ว่าแคลอรี่นั้นจะมาจาก ไขมัน น้ำตาล หรือว่าแป้งก็ตาม ที่ส่วนมากของอาหารโลว์แฟ็ตก็มักจะทุ่มใส่แป้งหรือน้ำตาลเข้าไปทดแทนไขมันที่น้อยกว่าปกติไปแทบทั้งสิ้น มันคือเหตุผลที่ว่าทำไมผู้หญิงที่อุตส่าห์กินอาหารโลว์แฟ็ตและโนแฟ็ตแล้วยังมีน้ำหนักตัวมากกว่าผู้ชายที่กินอาหารตามปกติของมัน แล้วยังกินแบบอร่อยๆ สบายๆ ไม่ได้คำนวณแคลอรี่เลย
ขั้นที่สี่ - กินอาหารไปตามที่ใจปรารถนา ผู้ชายคนหนึ่งเล่าว่า เมื่ออาทิตย์ก่อน เขาออกไปกินอาหารนอกบ้านแบบว่าให้รางวัลกับชีวิตของตัวเอง เป็นอาหารชุดใหญ่ นอกจากอร่อยกับมื้ออาหารนี้ที่เต็มไปด้วยโคเลสเตอรอล และไขมันแล้ว ยังมีอาการแบบเมาอาหารค้างอีกด้วย เพราะเช้าต่อๆมา เขาไม่สามารถกินอาหารที่มันๆได้ แถมยังรู้สึกอยากจะไปออกกำลังที่ยิมให้เบาเนื้อเบาตัวอีกด้วย ซึ่งอันนี้จะเป็นความรู้สึกทั่วไปของผู้ชายทุกคน ผู้ชายสุขภาพดีทุกคนจะเป็นแบบนี้ อยากกินกินเข้าไปตามใจปรารถนา แล้วก็ไปรีดออกง่ายๆที่โรงยิม แต่ผู้หญิงนั้น มักจะตรงกันข้าม คือมัวแต่ไประมัดระวังการกิน อดๆอยากๆ กินอาหารไขมันต่ำที่ไม่อร่อย จำกัดตัวเองเข้าไว้ บางครั้งพอเผลอกิน ก็ลงโทษตัวเองอยู่นั่นแล้ว พวกผู้หญิงไม่เคยคิดถึงการกินแบบเป็นสุขและการออกกำลังกายแบบเป็นสุข ถ้าผู้หญิงจะออกกำลังกายก็เป็นเพราะดูทีวี เห็นใครสักคนที่สวยๆ เชฟดีๆ แล้วอยากจะเอาอย่าง แต่ผู้ชายออกกำลังแบบเป็นสุข เพราะสนุกและมีความสุขกับมัน
ขั้นที่ห้า - ยกน้ำหนักและออกเหงื่อ พวกผู้หญิงแอบกลัวอยู่เงียบๆว่า ถ้าเล่นกีฬาแบบยกน้ำหนักแล้ว กล้ามมันจะขึ้นเป็นมัดๆ เช่น ถ้ายกดัมเบลล์ ต้นแขนก็จะเป็นมัดกล้ามแบบนักยกน้ำหนักที่เห็นในทีวี น่าเกลียดตายเลย แต่โปรดจำไว้เลยว่า ร่างกายของหญิงกับชายนั้น มีโครงสร้างและการสะสมไขมันที่ต่างกัน สาเหตุก็มาจากฮอร์โมนเพศสองตัวที่ชื่อ เอสโตรเจน และ เทสทอสเตอโรน นั่นแหละ ฉะนั้นมันเป็นไปไม่ได้หรอกที่ผู้หญิงจะมีกล้ามแขนที่คุณคิดว่าน่าเกลียด การยกน้ำหนักเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับแผนการลดน้ำหนัก ผู้หญิงที่มายกน้ำหนักนั้นจะผอมลง และกล้ามเนื้อกระชับเร็วกว่าการเต้นแอโรบิคเพียงอย่างเดียว ดาราฮอลลีวู้ดทั้งหลายที่เห็นรูปร่างดีๆนั้น ล้วนแล้วแต่มาจากการยกน้ำหนักทั้งนั้นแหละ ถ้าคุณยังไม่ค่อยเชื่อ ต้องอ้างวิทยาศาสตร์ประกอบอีกหน่อยว่า นักวิทยาศาสตร์บอกว่า ไม่ว่าคุณจะเป็นหญิงหรือชายก็ตาม ร่างกายของคุณจะทำงานหนักในการรักษากล้ามเนื้อมากกว่ารักษาไขมัน ดังนั้นถ้าคุณมีกล้ามเนื้อมากเท่าใด ร่างกายคุณก็จะเผาผลาญแคลอรี่ออกไปได้มากเท่านั้น ไม่ว่าคุณจะนั่งดูทีวีหรือกำลังออกกำลังกายก็ตาม ดังนั้นถ้าอยากลดความอ้วนแบบชาย จงตั้งเป้าที่จะไปยกน้ำหนักอย่างน้อยสามครั้งต่อสัปดาห์ ยกครั้งละสองสามท่า ท่าละ 10 ครั้ง (การถือตุ้มน้ำหนักข้างละ 2 ปอนด์เดินไปเดินมา ไม่ถือว่าเป็นการออกกำลัง)
ขั้นที่หก - ระวังการเข้าชั้นเรียนฟิตเนส ผู้หญิงต่างจากผู้ชายตรงที่ชอบไปเข้าชั้นเรียนออกกำลังกาย บางครั้งไปติดใจครูผู้สอนเข้า ก็ติดแหง็กอยู่กับชั้นเรียนนั้นเป็นปีๆ แต่ผู้เชี่ยวชาญบอกว่าเราจะไม่บรรลุวัตถุประสงค์ถ้าเราเรียนออกกำลังกายอยู่ชั้นเดิมและชั้นเดียวนั้น เพราะโดยทั่วไปหนึ่งชั้นเรียนก็มีเป้าหมายจุดเดียวหรืออย่างเดียว ซึ่งการออกกำลังกายที่สมดุลดี ต้องรวมทั้งออกกำลังหัวใจและน้ำหนักกาย และครอบคลุมกล้ามเนื้อทุกกลุ่มด้วย เมื่อผู้ชายออกกำลังกล้ามเนื้อ เขาจะเริ่มต้นจากกล้ามเนื้อมัดใหญ่ๆ เช่น หลัง หน้าท้อง ขาสองข้าง ตามมาด้วยส่วนบนที่ต้องโชว์ ได้แก่หน้าอก ต้นแขน ไหล่ ดังนั้นถ้าจะลอกเลียนประสบการณ์ของผู้ชาย ผู้หญิงก็จงเลิกกังวลกับส่วนหรือจุดที่เป็นปัญหา ลอกแบบผู้ชายไปก่อน แล้วลองมาดูว่าร่างกายทุกส่วนได้ผลเป็นอย่างไรบ้าง ถึงแม้ผู้ชายทุกคนจะไม่ได้มีรูปร่างสมบูรณ์แบบไปทุกส่วนอย่างคุณคิด แต่ถ้าคุณลองตามวิธีการของเขาแล้ว รับรองว่าคุณจะรู้สึกตัวเองเซ็กซี่มากขึ้นกว่าเดิม เร้าใจกว่าเดิมอย่างแน่นอน
ขั้นที่เจ็ด - เมินเฉยที่ชั่งน้ำหนักไปเลย
ขั้นนี้เป็นขั้นสุดท้ายแล้ว มองข้ามตาชั่งน้ำหนักไปได้เลย ในโรงยิมที่พวกผู้ชายไปออกกำลังกันนั้น เครื่องชั่งน้ำหนักเป็นสนิมไปเลยเพราะไม่มีใครใช้ แต่ในส่วนของพวกผู้หญิง พวกเธอยืนเข้าคิวรอตาชั่งน้ำหนักกันทุกวันในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ขนาดจำกัดตัวเองในการกินแทบตาย มาออกกำลังก็แล้ว ก็ยังต้องคอยระวังน้ำหนักกันทุกนาทีแบบนี้ ถ้าคุณยอมรับที่จะใช้วิธีการแบบชายโดยการยกน้ำหนักด้วย คุณอาจจะพบว่าคุณมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นจากเดิมเล็กน้อย แต่อย่าเพิ่งตกอกตกใจ อธิบายง่ายๆได้ดังนี้ ขนาดกล้ามเนื้อครึ่งกิโลนั้น มีขนาดเท่ากับหนึ่งในสาม ของขนาดไขมันหนักครึ่งกิโล ดังนั้นหมายความว่า ถ้าคุณหนัก 50 กิโลกรัม แต่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแล้ว คุณสามารถใส่กางเกงยีนส์คาลวิน ไคลน์ ขนาดเบอร์ 10 ได้สบายๆ ในขณะที่คนที่เต็มไปด้วยไขมัน และหนักเพียง 45 กิโลกรัมเท่านั้น จะไม่สามารถยัดตัวเองเข้าไปในกางเกงยีนส์ตัวเดียวกันนี้ได้เลย

- end -

วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2552

อยากได้ชิวาวา


ชิวาวา

มาตราฐานสายพันธุ์
อุปนิสัย : ฉลาด ร่าเริง ตื่นตัวอยู่เสมอ
ศีรษะ : หัวกะโหลกมีลักษณะกลม แก้มค่อนข้างเล็ก
หู : มีขนาดใหญ่ ใบหูตั้งพันธุ์ขนยาว บริเวณหูจะมีขนยาว
ตา : มีลักษณะกลมโต
ปาก : มีขนาดค่อนข้างเล็ก
จมูก : ค่อนข้างส้น มีหลายสีขึ้นอยู่กับสีของขน
ฟัน : ขาว แข็งแรง ขบแบบกรรไกร
ลำตัว : ความยาวของลำตัวมีขนาดยาวกว่าความสูงเส้นหลัง ตรงอยู่ในแนวระดับ
คอ : มีลักษณะกลม หัวไหล่เล็ก ชนิดขนยาวบริเวณจะมีขนมาก
อก : ค่อนข้างกว้าง
ขาหลัง : มีกล้ามเนื้อมาก ข้อเท้าหลังแข็งแรง ขาหลังอยู่ห่างกันพอเหมาะมองจากด้านหลัง ขาหลังตรงไม่บิด เท้ามีขนาดเล็ก นิ้วเท้าชิดเล็บค่อนข้างยาว
หาง : มีขนาดค่อนข้างยาว ลักษณะโค้งคล้ายเคียว อาจจะม้วนหางยกสูง
ขน-สี : ชนิดขนสั้นขนค่อนข้างนุ่มและสั้นทั่วทั้งตัว ชนิดขนยาวบริเวณหู อก ลำตัว ขา มีขนยาว สีมีหลายสี เป็นสีเดียวทั่วตัว แต่อาจจะมีสีจางบางส่วนได้
ขนาด : เป็นสุนัขที่มีขนาดเล็กมาก
น้ำหนัก : มีน้ำหนักไม่เกิน 6 ปอนด์
การเดิน-วิ่ง : มีความสง่างาม
ข้อบกพร่อง : หางตัด หูตก น้ำหนักเกิน 6 ปอนด์

วันพุธที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2552

ความลับของ "โยเกิร์ต" ที่รอการเปิดเผย

“โยเกิร์ต" เป็นอาหารที่น้องๆ ชาว Dek-D.Com หลายคนชอบกินและนำมาใช้ประโยชน์ในเรื่องความสวยความงามกันใช่ไหมจ๊ะ แล้วรู้กันรึเปล่าว่าอาหารชนิดนี้มีความลับหลายอย่างซ่อนอยู่ ชนิดที่ว่าน้องๆ อาจจะไม่เคยรู้มาก่อนเลย.....


ท้องเสีย!! ในโยเกิร์ตนั้นมีเชื้อจุลินทรีย์ที่ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เราเกิดอาการท้องเสียได้ ดังนั้นการกินในเวลาที่ท้องเสียนั้นจึงสามารถทำให้หยุดถ่ายหรือถ่ายน้อยลง
โรคหัวใจ!! "คอนจูเกตเต็ดไลโนเลอิก" เป็นไขมันที่มีอยู่ในโยเกิร์ต ที่ช่วยป้องกันโรคหัวใจ
มีสารอาหารถึง 11 ชนิด!! การกินโยเกิร์ตเป็นประจำจะทำให้อายุยืนและแข็งแรงได้ นอกจากนี้ในโยเกิร์ตไขมันต่ำ 1 ถ้วย ยังมีสารอาหารมากมาย อาทิ ไอโอดีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินบี 2 โปรตีน วิตามินบี 12 ทริปโทฟาน โพแทสเซียม โมลิปเดนัม สังกะสี และวิตามินบี 5 อีกด้วย
แคลเซียมสูง!! กรดแลกติกที่อยู่ในในโยเกิร์ตจะช่วยย่อยแคลเซียมให้เล็กลง ทำให้ร่างกายดูดซึมไปใช้ได้ และนอกจากนี้อาหารชนิดนี้ยังมีโปรตีนและแคลเซียมมากกว่านมธรรมดาอีกด้วย
แลคโตบาสิลัส!! เป็นจุลินทรีย์ที่ร่างกายของเราต้องการ เพราะมันจะเข้าไปช่วยหยุดการเจริญเติบโตของเชื้อ "เฮลิโคแบคเตอร์ เอชไพโลไร" ที่จะทำให้เป็นโรคกระเพาะ ลดการอักแสบของลำไส้และไขข้อได้
รอบเดือน!! ในช่วงเวลาที่น้องๆ เป็นวันนั้นของเดือนควรที่จะกินโยเกิร์ตเป็นประจำนะจ๊ะ และจุลินทรีย์ที่มีอยู่ในอาหารชนิดนี้ยังช่วยป้องกันการเป็นโรคมะเร็งปากมดลูกได้
ป้องกันโรคภัย!! เนื่องจากเป้นอาหารที่มีแคลเซียมสูง จึงทำให้ช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน , ความดันโลหิตสูง , มะเร็งลำไส้ และเป็นตัวกระตุ้นระบบเผาผลาญที่จะทำให้น้องๆ มีหุ่นที่ผอมเพรียว
ลดกลิ่นปาก!! การกินโยเกิร์ตเป็นการช่วยทำความสะอาดปาก และช่วยลดกลิ่นปากรวมถึงโรคเหงือกอีกด้วย
เพิ่มภูมิต้านทาน!! แบคทีเรียในโยเกิร์ตทำให้ร่างกายสังเคราะห์วิตามินเคและบีในลำไส้ได้ดีขึ้น

วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2552

กว่าจะมาเป็น "น้ำยาลบคำผิด"


เคยสงสัยไหมว่า “น้ำยาลบคำผิด” หรือ “correcting fluid” ที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้เกิดขึ้นมาได้ยังไง มาจากที่ไหน และใครเป็นคนคิดค้นขึ้นเป็นคนแรก …
เรื่องของเรื่องก็มีอยู่ว่า อนงค์นางหนึ่งมีนามว่า นางเบ็ต เนสมิธ เกรแฮม (Bette Nesmith Graham) ทำงานในหน้าที่เลขานุการเวลาที่เธอพิมพ์งานผิด เธอต้องเจอกับปัญหาการพิมพ์ผิดซึ่งเธอใช้ยางลบดินสอเป็นตัวช่วยลบทำให้การทำงานทั้งล่าทั้งช้าและไม่เรียบร้อย ต่อมามีเครื่องพิมพ์ดีดไฟฟ้าออกมาใช้ คราวนี้เธอเผชิญปัญหาหนักกว่าเก่า เพราะไม่สามารถใช้ยางลบดินสอลบทำผิดได้อีกต่อไป ต้องพิมพ์ใหม่สถานเดียว
กว่าจะมาเป็น "น้ำยาลบคำผิด"

เมื่อต้องประสบกับปัญหานี้อยู่บ่อยครั้งเธอจึงหาทางแก้ไขปัญหานี้ด้วยการประดิษฐ์น้ำยาลบคำผิดขึ้นมา ในปี ค.ศ.1950 เธอก็ค้นพบวิธีทำน้ำยาลบหมึกแบบง่าย เพียงใช้สีน้ำสีขาวบรรจุลงในขวดน้ำยาทาเล็บ ใช้พู่กันป้ายสีน้ำสีขาวลงบนกระดาษ แค่ก็สามารถลบคำผิดได้และพิมพ์ซ้ำทับได้แนบเนียน ใช้ง่าย รวดเร็ว และแก้ไขปัญหาได้อย่ามีประสิทธิภาพ
ความนิยมเริ่มเกิดขึ้นเมื่อบรรดาเพื่อนร่วมงานของเธอเห็นเช่นนั้น ก็ขอน้ำยาลบหมึกของเธอมาใช้กันบ้าง และนี้ก็คือจุดกำเนิดน้ำยาป้ายคำผิด correcting fluid
ต่อมาเมื่อมีความต้องการน้ำยาป้ายคำผิดมากๆ นางเกรแฮมจึงพัฒนาสีน้ำสีขาวและทำการผลิตที่บ้านออกจำหน่าย ด้วยการผสมสีขาวลงในเครื่องปั่น กรอกใส่ขวดยาทาเล็บ เป็นอุสาหกรรมครอบครัวยาวนานถึง 17 ปี ต่อมาในปี ค.ศ. 1979 เธอได้ขายกิจการให้บริษัทยิลเล็ต (Gillette) ในราคาที่สูงถึง 47.5 ล้านดอลลาร์ โดยสามารถผลิตน้ำยาลบคำผิดได้ถึง 25 ล้านขวด ออกจำหน่ายไปทั่วโลก
จากปัญหาเล็กๆ ก่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ที่ก่อให้เกิดประโยชน์มาจนถึงทุกวันนี้ ช่างเป็นไอเดียที่น่าชื่นชมจริงๆ เลยนะคะ ขอยกนิ้วให้เลย!!!

วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2552

"ยา" กับความเข้าใจผิดๆ ...














มีหลายคนมีความเชื่อที่ผิดๆ เกี่ยวกับ "ยารักษาโรค" ซึ่งความเชื่อเหล่านั้นก็อาจจะนำมาซึ่งอันตรายก็ได้ อย่างเช่น ...

>>> ฉีดยาดีกว่ากินยา <<<
โดยหลักการแล้ว ยารับประทานเป็นยาที่แพทย์จะเลือกใช้เป็นลำดับแรก เพราะสามารถรักษาโรคหรือบำบัดอาการได้เกือบทั้งหมด ใช้ง่ายและสามารถติดตัวเพื่อรับประทานต่อเนื่อง สำหรับยาฉีดนั้นเหมาะกับผู้ป่วยที่ไม่สามารถรับประทานยา หรือในผู้ป่วยหนัก หรือผู้ป่วยที่ต้องการผลให้ระดับยาสูงขึ้นทันที หลังจากนั้นเมื่อคุมอาการได้ แพทย์ก็จะพิจารณาให้รับประทานยาต่อ
สิ่งที่ควรรู้ คือ อันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากยาฉีดนั้นจะแก้ไขได้ยาก หรือรุนแรงมากกว่ายารับประทานและมีบ้างที่อาจแก้ไขไม่ทัน

>>> ยาแพงดีกว่ายาถูก <<<
ความเชื่อนี้ไม่จริงเสมอไป โดยเฉพาะยาปัจจุบันที่มีอยู่ในท้องตลาดเป็นส่วนใหญ่ ยาที่แพงอาจเนื่องจากมีการบวกค่าโฆษณา ค่าการค้นคว้าในอดีต และการบวกกำไรลงไปในราคายามากเป็นหลายเท่าตัว
ข้อควรปฏิบัติ คือ ควรสอบถามเภสัชกร หรือแพทย์ว่ายาดังกล่าวสามารถเชื่อถือคุณภาพได้มากน้อยเพียงใด ใช้เกณฑ์อะไรในการพิจารณาว่ายามีคุณภาพ

>>> ยาตัวใหม่ดีกว่ายาตัวเก่า <<<
ความเชื่อนี้มีส่วนจริงบ้างแต่ไม่เสมอไป ยาที่ออกใหม่หลายตัวก็มีผลการรักษาที่ไม่แตกต่างจากยาเดิม แต่ก็มียาใหม่ที่คิดค้นขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ที่ยาเก่าใช้ไม่ได้ผล อันเป็นปัญหาที่ซับซ้อนสะสมมานาน ทั้งจากด้านผู้ใช้ยาที่ใช้ไม่ถูกต้อง และผู้สั่งใช้ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐาน หรือแนวทางที่ถูกต้องในการรักษา นอกจากนี้ยาใหม่อาจมีการพัฒนาเพื่อให้ใช้ได้ง่ายขึ้น ลดอาการข้างเคียงบางอย่างลง หรือทันต่อโรคใหม่ ๆ อย่างไรก็ตามข้อเสียของยาใหม่คือมีข้อมูลการใช้ไม่มากพอ ผู้ใช้จึงเป็นเสมือนหนูลองยา บ่อยครั้งที่ต้องมีการถอนยาตัวนั้นออกจากตลาด หลังจากใช้ไปได้ระยะหนึ่ง เพราะความเป็นพิษรุนแรงบางชนิดทำให้พิการบางชนิดมีผลให้เสียชีวิต
สิ่งที่ควรรู้ คือ การรักษาจะได้ผลหรือไม่ขึ้นกับการวิเคราะห์อาการได้ถูกต้อง การเลือกใช้ยาที่เหมาะสมความร่วมมือในการรักษา ความสามารถในการใช้ยาที่มีวิธีการใช้พิเศษ เช่น ยาพ่น และการปฏิบัติตัวตามคำแนะนำอย่างสม่ำเสมอ

>>> เมื่ออาการหายก็ไม่ต้องรับประทานยาต่อ <<<
ความเชื่อนี้มีทั้งที่จริงและไม่จริงยาที่รักษาอาการ เช่น ยาแก้ปวดหัว ยาลดไข้ ยาบรรเทาอาการหวัด ยาเหล่านี้เมื่อไม่มีอาการก็สามารถที่จะหยุดได้ แต่ยาที่มีการระบุไว้ที่ฉลากว่า "ควรรับประทานติดต่อกันทุกวันจนหมด" หรือยารักษาโรคเรื้อรัง เช่น ความดันเลือดสูง เบาหวาน จะต้องรับประทานต่อเนื่องตามขนาด และเวลาที่ระบุถึงแม้จะควบคุมอาการได้แล้วก็ตาม เพราะเป็นยาที่รักษาที่ต้นเหตุของการเจ็บป่วยนั้น มิฉะนั้นอาจทำให้เรื้อรัง ดื้อยา หรือไม่สามารถคุมอาการได้
ข้อควรปฏิบัติ คือ สอบถามทุกครั้งที่ได้รับยาว่ามียาขนานใดที่ต้องรับประทานตามขนาดและเวลาที่สั่งจนหมด ในทางปฏิบัติทั่วไปยาที่ให้โดยมีจุดมุ่งหมาย เพื่อบำบัดเมื่อมีอาการเท่านั้นที่ไม่ต้องรับประทานจนหมด นอกนั้นควรรับประทานจนหมดเพื่อลดปัญหาการเก็บ และการนำกลับมาใช้ใหม่ที่อาจเป็นอันตราย
>>> อาการเจ็บป่วยของตนนั้นต้องใช้ยาแรง ยาอ่อนไม่ได้ผล <<<
หากไม่ได้เป็นโรคเรื้อรัง การเจ็บป่วยแต่ละครั้งนั้นไม่ขึ้นต่อกัน การใช้ยาแต่ละครั้งจึงไม่เกี่ยวข้องกันผู้ป่วยมักได้รับการบอกจากผู้ให้บริการว่า สำหรับคุณจำเป็นที่ต้องได้รับยาแรง ยาอ่อนไม่ได้ผล หรือร้านนี้ไม่มียาอ่อน การพูดดังกล่าวเป็นเพียงการสร้างความเข้าใจที่ผิด และต้องการที่จะให้ผู้รับบริการเชื่อว่าได้รับยาที่ดีที่สุด และเป็นเสมือนการโฆษณาชวนเชื่อ สามารถที่จะเรียกเก็บเงินในราคาสูง ยาที่ดีที่สุดนั้นเป็นยาที่ตรงกับอาการ หรือสาเหตุจริงของการเจ็บป่วย อาการจะหายหรือไม่หายขึ้นกับความสามารถในการวิเคราะห์โรค และการเลือกยาที่เหมาะสม
ข้อควรปฏิบัติ คือ บอกเล่าอาการให้ละเอียด มีประวัติการใช้ยา อาหารเสริม สมุนไพร หรือการแพ้อะไร มีโรคประจำตัวหรือไม่ และสอบถามวิธีปฏิบัติข้อควรระวังในระหว่างการใช้ยานั้น
>>> ยาชุดดีกว่ายาเดี่ยว <<<
ยาชุดเป็นการจัดยาหลายขนานเข้าด้วยกันที่นับว่าเป็นเสมือนสิ่งที่ปฏิบัติต่อ เนื่องกันมาของสังคมไทย เพื่อความสะดวกในการรับประทานและง่ายต่อการจัดของผู้ป่วย สำหรับยาเดี่ยวนั้นจะบรรจุยาแต่ละชนิดแยกจากกัน ข้อดีของยาเดี่ยวคือไม่ปนเปื้อนยาบางขนานอาจให้ในเวลาที่ต่างกัน แต่สำหรับชาวบ้านทั่วไปจะยากในการใช้ให้ถูกต้อง ยาชุดหรือยาเดี่ยวจึงไม่แตกต่างกัน ถ้าเป็นยาที่รับประทานเวลาเดียวกันและตรงกับอาการที่เป็นจริง แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมไทยคือ ยาชุดที่มีการจัดมักจะมีการใส่ยาที่มีอันตรายมาก เช่น สเตียรอยด์ ลงไปในยาชุดโดยหวังให้กดหรือบดบังอาการชั่วคราว และจะเป็นอันตรายร้ายแรงเมื่อใช้ต่อเนื่อง
ข้อควรปฏิบัติ คือ หากเลี่ยงได้ให้เลี่ยงยาชุดโดยเฉพาะยาชุดที่มีการจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า และให้บอกว่าไม่ต้องการยาสเตียรอยด์
>>> ยารับประทานจะรับประทานก่อน หรือหลังอาหารก็ได้ไม่แตกต่างกัน <<<

ความเชื่อนี้ไม่จริงเสมอไป โดยมาแล้วยารับประทานมักจะให้รับประทานหลังอาหารเพื่อสะดวกในการรับประทาน และไม่ลืมเป็นการเพิ่มความร่วมมือในการใช้ยา ยาหลังอาหารนั้นสามารถที่จะรับประทานหลังอาหารได้ทันที หรือภายในครึ่งชั่วโมง
สำหรับยาก่อนอาหารจะต้องรับประทานก่อนอาหารอย่างน้อยครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่ง ชั่วโมง อย่างไรก็ตามหากระบุให้รับประทานก่อนอาหารพร้อมอาหารหรือหลังอาหารทันที ก็ควรที่จะปฏิบัติตามเวลาที่รับประทานที่ถูกต้องของยาดังกล่าว เนื่องจากยาบางตัวไม่ทนกรด ยาบางตัวมีผลกัดกระเพาะ ยาบางตัวจะดูดซึมได้ดีเมื่อรับประทานพร้อมอาหารหรืออาหารที่มีไขมันสูง
สิ่งที่ควรรู้ คือ การได้รับยาที่มากกว่า 1 ขนานสามารถที่จะเกิดยาตีกันได้ (อันตรกิริยาของยา) ในบางครั้งการให้รับประทานก่อนหรือหลังอาหารแยกจากกัน ก็มีจุดมุ่งหมายที่จะป้องกันไม่ให้ยาตีกันดังกล่าว จึงควรที่จะรับประทานให้ถูกต้องเพื่อผลการรักษาที่ดี และลดอาการอันไม่พึงประสงค์ที่อาจเกิดขึ้นได้
โอ๊ะโอ มีความเชื่อเกี่ยวกับยารักษาโรคมากมายหลายอย่างที่เราเข้าใจผิดมาตลอดเลยนะคะ แบบนี้ไม่ได้การซะแล้วล่ะ ต้องรีบทำความเข้าใจกันใหม่แบบเร่งด่วนเลยนะคะ ไม่อย่างนั้นอันตรายแย่เลย ...

วันอังคารที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ขนมไทย

ขนมไทย
ประวัติความเป็นมาของขนมไทย
สมัยสุโขทัย
ขนมไทยมีที่มาคู่กับชนชาติไทย จากประวัติศาสตร์ที่ติดต่อค้าขายกับต่างประเทศคือ จีนและอินเดียในสมัยสุโขทัย มีส่วนช่วยส่งเสริมการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ด้านอาหารการกินร่วมไปด้วย
สมัยอยุธยา
เริ่มมีการเจริญสัมพันธ์ไมตรีกับต่างประเทศทั้งชาติตะวันออกและตะวันตก ไทยเรายิ่งรับเอาวัฒนธรรมด้านอาหารของชาติต่างๆ มาดัดแปลงให้เหมาะสมกับสภาพความเป็นอยู่ เครื่องมือเครื่องใช้ วัตถุดิบที่หาได้ ตลอดจนนิสัยการบริโภคของคนไทยเอง จนบางทีคนรุ่นหลังแทบจะแยกไม่ออกเลยว่า อะไรคือขนมไทยแท้ๆ อะไรที่เรายืมเค้ามา เช่น ทองหยิบ ทองหยอดและฝอยทอง หลายท่านอาจคิดว่าเป็นของไทยแท้ๆ แต่ความจริงแล้วมีต้นกำเนิดจากประเทศโปรตุเกส โดย "มารี กีมาร์" หรือ "ท้าวทองกีบม้า"
"มารี กีมาร์" หรือ "ท้าวทองกีบม้า"เกิดเมื่อ พ.ศ. 2201 หรือ พ.ศ. 2202 แต่บางแห่งก็ว่า พ.ศ. 2209 โดยยึดหลักจากการแต่งงานของเธอที่มีขึ้นในปี พ.ศ. 2225 และขณะนั้น
มารี กีมาร์ มีอายุเพียง 16 ปี บิดาชื่อ "ฟานิก (Phanick)" เป็นลูกครึ่งญี่ปุ่นผสมแขกเบงกอล ผู้เคร่งศาสนา ส่วนมารดาชื่อ "อุรสุลา ยามาดา (Ursula Yamada)" ซึ่งมีเชื่อสายญี่ปุ่นผสมโปรตุเกส ที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานในอยุธยา ภายหลังจากพวกซามูไรชุดแรกจะเดินทางเข้ามาเป็นทหารอาสา ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ไม่นานนักชีวิตช่วงหนึ่งของ "ท้าวทองกีบม้า" ได้เข้าไปรับราชการในพระราชวังตำแหน่ง "หัวหน้าห้องเครื่องต้น" ดูแลเครื่องเงินเครื่องทองของหลวง เป็นหัวหน้าเก็บพระภูษาฉลอง พระองค์ และเก็บผลไม้ของเสวย มีพนักงานอยู่ใต้บังคับบัญชาเป็นหญิงล้วน จำนวน 2,000 คน ซึ่งเธอก็ทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เป็นที่ชื่นชม ยกย่อง มีเงินคืนทองพระคลังปีละมากๆ ระหว่างที่รับราชการนี่เอง มารี กีมาร์ ได้สอนการทำขนมหวานจำพวก ทองหยอด ทองหยิบ ฝอยทอง ทองพลุ ทองโปร่ง ขนมผิงและอื่นๆ ให้แก่ผู้ทำงานอยู่กับเธอและสาวๆ เหล่านั้น ได้นำมาถ่ายทอดต่อมายังแต่ละครอบครัวกระจายไปในหมู่คนไทยมาจนปัจจุบันนี้ ถึงแม้ว่า "มารี กีมาร์" หรือ "ท้าวทองกีบม้า" จะมีชาติกำเนิดเป็นชาวต่างชาติ แต่เธอก็เกิด เติบโต มีชีวิตอยูในเมืองไทยจวบจนหมดสิ้นอายุขัย นอกจากนั้น ยังได้ทิ้งสิ่งที่เธอค้นคิดให้เป็นมรดกตกทอดมาสู่คนรุ่นหลัง ได้กล่าวขวัญถึงด้วยความภาคภูมิ "ท้าวทองกีบม้า เจ้าตำรับอาหารไทย

วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

เตือนไปดูดไขมันลดความอ้วนถูกดูดวิญญาณออกจากร่างด้วย

เตือนไปดูดไขมันลดความอ้วนถูกดูดวิญญาณออกจากร่างด้วย
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ปีที่ 52 ฉบับที่ 15911 8/14/2001

แพทย์สหรัฐฯประกาศเตือน ห้ามการดูดไขมันออกจากร่างกาย อันเป็นวิธีการลดความอ้วนที่นิยมกัน หลังจากที่ปรากฏว่า ชั่วระยะเวลา 5 ปี มีผู้เคราะห์ร้ายเสียชีวิตไปแล้ว 95 คน และรายล่าสุดเพิ่งเกิด เมื่อสองเดือนมานี้เองแพทย์กล่าวว่า การดูดไขมันแบบนี้ จะใช้ท่อสอดเข้าไปใต้ผิวหนัง จากนั้นจะสลายไขมัน และดูดออกมาจากตัว วิธีการดูดไขมัน เป็นการเสี่ยงอันตรายพอๆ กับการผ่าตัด อาจเกิดการติดเชื้อ การชาเพราะ ฤทธิ์ยาสลบ เลือดออกหรือเลือดอุดตัน ทั้งยังเสียค่าใช้จ่ายสูง แต่ละรายจะเสียค่าใช้จ่ายโดยประมาณเกือบ 200,000 บาท สมาคมแพทย์ศัลยกรรมตกแต่งของสหรัฐฯ ได้พบว่า มีคนไข้ที่ไปดูดไขมันออก ระหว่างช่วงปี พ.ศ. 2537-2541 เสียชีวิตไปแล้ว 95 คน รายล่าสุดเพิ่งไปดูดไขมันเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม ที่ผ่านมา เป็นนักศึกษาสาววัยรุ่นอายุเพียง 18 ปีเท่านั้น ต้องเสียชีวิตจากอาการแทรกซ้อน หลังจากดูดไขมันไปได้เพียง 48 ชั่วโมง

วันพฤหัสบดีที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

อย.เตือนอันตรายยารักษาสิว " โรแอคคิวเทน"

อย.เตือนอันตรายยารักษาสิว " โรแอคคิวเทน"

อย.เตือนผู้ใช้ยารักษาสิว " โรแอคคิวเทน "ระวังผลข้างเคียงจากการใช้ยาที่อาจทำให้ทารกพิการได้ หากใช้ในหญิงที่มีโอกาสตั้งครรภ์ และยังทำให้เกิดอาการซึมเศร้า แนะการใช้ยาดังกล่าวต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ และเภสัชกรอย่างใกล้ชิด
น.พ.สถาพร วงษ์เจริญ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยถึง ยารักษาสิว " โรแอคคิวเทน ( Roaccutane ) " ว่า เป็นยาที่ประกอบด้วยตัวยาไอโซเทรติโนอิน ( Isotretinoin ) ซึ่งเป็นตัวยาที่ใช้สำหรับรักษาสิวชนิดหัวซิสต์ที่เป็นรุนแรง ซึ่งดื้อต่อยารักษาอื่น ๆ แต่ยานี้เป็นยาที่มีผลข้างเคียงค่อนข้างมาก จึงมีคำเตือนไม่ให้ใช้ในสตรีที่มีโอกาสตั้งครรภ์ เพราะอาจทำให้ทารกพิการได้ ( teratogenic effect ) นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าทำให้เกิดอาการซึมเศร้า และอาการทางจิตด้วย
สำหรับในประเทศไทย มีการขึ้นทะเบียนตำรับยาโรแอคคิวเทน ไว้ 2 ความแรง คือ 10 มิลลิกรัม และ 20 มิลลิกรัม รวม 4 ตำรับ เป็นตำรับยาที่ผลิตในประเทศเยอรมันและสวิตเซอร์แลนด์ ในปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุข มีการควบคุมกำกับดูแลยาโรแอคคิวเทนอย่างเข้มงวด โดยจัดให้เป็นยาควบคุมพิเศษ ซึ่งต้องจ่ายโดยมีใบสั่งยา และในการขึ้นทะเบียนตำรับยายังมีเงื่อนไขกำหนดให้ผู้ประกอบการจำหน่ายยาดังกล่าวได้เฉพาะในสถานพยาบาล ที่มีผู้เชี่ยวชาญทางด้านโรคผิวหนังดูแลอย่างใกล้ชิดเท่านั้น นอกจากนี้ในฉลากและเอกสารกำกับยา จะต้องแสดงข้อความคำเตือนต่าง ๆ คือ ห้ามใช้ยานี้ในหญิงมีครรภ์ เพราะอาจทำให้เกิดทารกพิการได้ ห้ามใช้ในผู้ป่วยโรคตับ โรคไต ผู้มีภาวะวิตามินเอสูงเกิน หรือผู้ที่มีระดับไขมันในเลือดสูง ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่แพ้หรือไวต่อยานี้ และควรใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์และเภสัชกรอย่างใกล้ชิด
รองเลขาธิการ อย.กล่าวว่า หลักเกณฑ์และมาตรการกำกับดูแลยารักษาสิวดังกล่าว ได้ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการยา และคณะอนุกรรมการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการควบคุมอันตราย ในการใช้ยามาโดยตลอด แต่อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การกำกับดูแลเป็นไปอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง ทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จึงให้ศูนย์ติดตามอาการอันไม่พึงประสงค์จากการใช้ผลิตภัณฑ์สุขภาพ (APR) ของ อย. ติดตามการใช้ยาดังกล่าวด้วย เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของผู้บริโภคให้มากที่สุด

วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ระวังดอกไม้จีนฟอกขาว

ระวังดอกไม้จีนฟอกขาว
ดอกไม้จีน หรือ จำฉ่าย ที่ชาวจีนนิยมเอามาใส่ใน ต้มจืดวุ้น เส้น ขาหมู เป็ดตุ๋น ก็อร่อยไปอีกเมนู ในสมัยก่อนกว่าจะได้ "เปิบ" ต้อง สั่งนำเข้าจาก "แดนมังกร" แต่ด้วยวิวัฒนาการอันทันสมัย ทำให้เราสามารถ เอามาเพาะขายกลายเป็นไม้ประดับตกแต่งไปซะแล้ว
และ...นอกจากความสวย ดอกไม้ ชนิดนี้ยังมีสาร แคโรทีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก โพแทสเซียม และวิตามินต่างๆ ซึ่งช่วย บำรุงเลือด หัวใจ มดลูกให้แข็งแรง เส้นเอ็น ไม่ให้ปวดเมื่อยง่าย แก้ ร้อนใน ถอนพิษ บรรเทาอาการ ปอดบวม ขับปัสสาวะ นอนหลับสบาย เกสรฯช่วยให้สมองทำงานดี เพิ่มความจำ ต้านอนุมูลอิสระ และ กระตุ้นภูมิคุ้มกันแต่การกินให้ปลอดภัย ได้ประโยชน์ ก็ต้องเลือกซื้อให้เป็น ขอแนะนำว่าควรเลือกดอกที่ไม่ผ่านการฟอกขาว เพราะนอกจากทำให้ น้ำแกงมีกลิ่นหอมเฉพาะตัวแล้ว ยังไม่ต้องเสี่ยงกับสารที่ มาใช้ในการฟอกด้วยค่ะคุณขา.

วันพุธที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2552

พระราชวังแวร์ซายส์


Palace of Versailles
ประวัติ

เดิมนั้น เมืองแวร์ซายส์เป็นเพียงเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่งเท่านั้น มีผู้คนอาศัยอยู่เบาบาง บริเวณส่วนใหญ่เป็นป่าเขา เยี่ยงชนบทอื่น ๆ ของฝรั่งเศส เมื่อพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 ยังทรงพระเยาว์ ขณะพระชนมายุได้ 23 พระชันษา ทรงนิยมล่าสัตว์ในป่า และทรงเห็นว่าตำบลแวร์ซายส์น่าจะเหมาะแก่การประทับเพื่อล่าสัตว์ จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระตำหนักขึ้นมาใน พ.ศ. 2167 โดยในช่วงแรกเป็นเพียงกระท่อมเล็กๆ สำหรับพักชั่วคราวเท่านั้น
เมื่อ
พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส ขึ้นครองบัลลังก์ มีประสงค์ที่จะสร้างพระราชวังแห่งใหม่ เพื่อเป็นศูนย์กลางในการปกครองของพระองค์ จึงเริ่มปรับปรุงพระตำหนักเดิมในปี พ.ศ. 2204 ใช้เงินทั้งหมด 500,000,000 ฟรังก์ คนงาน 30,000 คน และใช้เวลาอยู่ถึง 30 ปีจึงแล้วเสร็จในพ.ศ. 2231 ทุกส่วนทำด้วยหินอ่อนสีขาว เป็นแบบอย่างศิลปกรรมที่งดงามมาก ภาย ในแบ่งออกเป็นห้องๆ เช่น ห้องบรรทม ห้องเสวย ห้องสำราญ ฯลฯ ทุกห้องล้วนมีเครื่องประดับงดงามตระการตาและภาพเขียนที่มีชื่อเสียง
การก่อสร้างพระราชวังแวร์ซายส์แห่งนี้ได้นำเงินมาจากค่าภาษีอากรของราษฎรชาวฝรั่งเศส ต่อมาจึงได้มีกองทัพประชาชนบุกเข้ายึดพระราชวังและจับ
พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 กับพระนางมารี อองตัวเนต ประหารด้วย "กิโยติน" ในวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2332 ปัจจุบันพระราชวังแวร์ซายส์ยังอยู่ในสภาพดีและเปิดให้ประชาชนเข้าชมได้

วันเสาร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2552

Musée du Louvre

Musée du Louvre


Le musée du Louvre est le plus grand musée parisien par sa surface (210 000 m² dont 68 000 consacrés aux expositions[2]) et l'un des plus importants du monde. Situé au cœur de la ville de Paris, entre la rive droite de la Seine et la rue de Rivoli, dans le Ier arrondissement, le bâtiment est un ancien palais royal, le Palais du Louvre. La statue équestre de Louis XIV constitue le point de départ de l'axe historique, mais le palais n'est pas aligné sur cet axe. Le Louvre possède une longue histoire de conservation artistique et historique de la France, depuis les rois capétiens jusqu'à nos jours.
Musée universaliste, le Louvre couvre une chronologie et une aire géographique larges, depuis l'Antiquité jusqu'à 1848, de l'Europe occidentale jusqu'à l'Iran, via la Grèce, l'Égypte et le Proche-Orient. À
Paris, la période postérieure à 1848 pour les arts européens est prise en charge par le musée d'Orsay et le centre Georges-Pompidou, alors que les arts asiatiques sont exposés au musée Guimet. Les arts d'Afrique, d'Amérique et d'Océanie prennent quant à eux place au musée du quai Branly, mais une centaine de chefs-d'œuvre sont exposés au pavillon des Sessions. Les œuvres sont de nature variée : peintures, sculptures, dessins, céramiques, objets archéologiques et objets d'art entre autres. Parmi les pièces les plus célèbres du musée se trouvent le Code d'Hammurabi, la Vénus de Milo, La Joconde de Léonard de Vinci, et La Liberté guidant le peuple d'Eugène Delacroix. Le Louvre est le musée le plus visité au monde, avec 8,3 millions de visiteurs en 2006.

วันอังคารที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2552

จักรพรรดินโปเลียนที่ 3

จักรพรรดินโปเลียนที่ 3
จักรพรรดินโปเลียนที่ 3 (Napoléon III de France) หรือเป็นที่รู้จักกันในพระนาม หลุยส์-นโปเลียน โบนาปาร์ต (20 เมษายน พ.ศ. 23519 มกราคม พ.ศ. 2416) ประธานาธิบดีพระองค์แรกแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส ต่อมาได้กลายเป็นจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิฝรั่งเศสในพระนาม จักรพรรดินโปเลียนที่ 3 โดยการก่อรัฐประหาร พระองค์ยังถือว่าเป็นประธานาธิบดีพระองค์แรกของสาธารณรัฐฝรั่งเศสและจักรพรรดิพระองค์สุดท้ายของจักรวรรดิฝรั่งเศสอีกด้วย

ประวัติ
เจ้าชายหลุยส์-นโปเลียน ประสูติ ณ
กรุงปารีส เป็นโอรสพระองค์ที่ 3 ของหลุยส์ โบนาปาร์ต พระอนุชาในจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 และพระนางออร์ตองซ์ เดอ โบอาร์เนส์ พระราชธิดาใน พระนางโฌเซฟีน เดอ โบอาร์เนส์‎ (จากการสมรสครั้งแรก) พระมเหสีในจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ในรัชสมัยของจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 พระบิดา - มารดาของพระองค์ได้รับตำแหน่งให้เป็นกษัตริย์และพระราชินีแห่งราชอาณาจักรฮอลแลนด์ ซึ่งเป็นรัฐบาลหุ่นของจักรวรรดิฝรั่งเศส แต่ภายหลังจากการพ่ายแพ้และลงจากตำแหน่งของจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ในปี พ.ศ. 2358 และการกลับมาของราชวงศ์บูร์บงในประเทศฝรั่งเศส สมาชิกราชวงศ์โบนาปาร์ตได้ถูกเนรเทศออกจากประเทศฝรั่งเศส ส่งผลให้หลุยส์-นโปเลียน ผู้เยาว์วัยได้เติบโตขึ้นมาในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ (อาศัยกับพระมารดาในมลรัฐเล็กๆ ชื่อว่า Thurgau) และในประเทศเยอรมนี (ได้รับการศึกษาที่โรงเรียนเตรียมมหาวิทยาลัย เมืองออกซ์บูร์ก บาวาเรีย) ในฐานะหนุ่มวัยเยาว์เขาได้อาศัยในประเทศอิตาลี ในที่ๆ พระเชษฐา นโปเลียน หลุยส์ ได้สนับสนุนการปกครองแบบเสรีนิยมและมีส่วนร่วมกับคาร์โบนารี องค์กรต่อต้านอิทธิพลของออสเตรียในดินแดนตอนเหนือของประเทศอิตาลี ซึ่งต่อมาจะมีอิทธิพลต่อการปกครองของพระองค์ในนโยบายการต่างประเทศ
ขณะนั้นประเทศฝรั่งเศสยังปกครองด้วยราชวงศ์บูร์บง ต่อมาราชวงศ์ออร์เลอง และยังมีขบวนการสนับสนุนราชวงศ์โบนาปาร์ต (โบนาปาร์ตนิยม) อยู่อีกด้วย ตามกฎหมายว่าด้วยการสืบสันตติวงศ์ของ
จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ที่ได้ประกาศในสมัยรัชสมัยของพระองค์ ผู้ซึ่งมีสิทธิในราชบัลลังก์อันดับแรกคือพระราชโอรสของพระองค์ ดยุ๊คแห่งไรค์สตัดต์ หรือเป็นที่รู้จักในพวกโบนาปาร์ตนิยมว่า "นโปเลียนที่ 2" ซึ่งเป็นหนุ่มขี้โรคที่ถูกจำคุกอยู่ในศาลแห่งเวียนนา ลำดับต่อมาคือ พระเชษฐาของจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 พระนามว่า "โฌเซฟ โบนาปาร์ต" ต่อมาคือ หลุยส์ โบนาปาร์ตและโอรสทั้งหลาย (พระเชษฐาของหลุยส์ โบนาปาร์ต ลูเซียง โบนาปาร์ตและทายาทได้ถูกข้ามในรายพระนามผู้มีสิทธิในราชบัลลังก์เนื่องจากพระองค์ทำให้จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ไม่พอใจในการขึ้นครองราชย์ของพระองค์เอง) เมื่อโฌเซฟ โบนาปาร์ตไม่มีโอรส และสิ้นพระชนม์ในปี พ.ศ. 2374 และการสิ้นพระชนม์ของดยุ๊คแห่งไรค์สตัดต์ ทำให้หลุยส์-นโปเลียนกลายมาเป็นองค์รัชทายาทในการสืบบัลลังก์ ซึ่งพระปิตุลาและพระบิดาของพระองค์ก็ได้มีพระชนม์มากแล้ว ซึ่งก็ปล่อยภาระให้มาอยู่ในพระกรของพระองค์
พระองค์ได้แอบกลับสู่ประเทศฝรั่งเศสในเดือนตุลาคม
พ.ศ. 2379 และเป็นครั้งแรกในพระชนมชีพที่ได้เป็นผู้นำในการรัฐประหาร พร้อมด้วยพวกโบนาปาร์ตนิยมที่เมืองสตราสบูร์ก ทางด้านพระเจ้าหลุยส์-ฟิลิปป์ก็ได้สถาปนาราชวงศ์แห่งเดือนกรกฎาคมในปี พ.ศ. 2373 และเผชิญหน้ากับฝ่ายตรงข้ามทั้งผู้สนับสนุนกษัตริย์พระองค์ที่สืบพระราชสันตติวงศ์มาโดยถูกต้อง พวกสาธารณรัฐนิยมและโบนาปาร์ตนิยม ถึงกระนั้นการรัฐประหารได้ประสบความล้มเหลว และถูกเนรเทศไปยังโลเรียงต์ และต่อมาที่สหรัฐอเมริกา และได้พำนักอยู่ที่นิวยอร์กเป็นเวลา 4 ปี และอีกครั้งหนึ่งที่เขาลักลอบกลับมาและพยายามอีกครั้งในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2383 โดยล่องเรือมากับทหารจ้างจำนวนหนึ่งสู่บูโลญ แต่ทว่าในครั้งนี้ พระองค์ถูกจับได้และถูกตัดสินให้จำคุกตลอดชีวิต ถึงกระนั้นพระองค์ก็ยังอยู่ในความช่วยเหลือของพระประยูรญาติที่เมืองออง (Ham) เขตการปกครองซอมม์ ขณะที่เขาอยู่ในสถานที่ปลอดภัยแห่งหนึ่ง สายพระเนตรของพระองค์ได้แย่ลง แต่พระองค์ก็ยังประพันธ์เรียงความร้อยแก้วและหนังสือที่เกี่ยวกับการอ้างสิทธิในการขึ้นครองราชย์ของพระองค์และการปฏิรูปการปกครอง รวมทั้งข้อเสนอเกี่ยวกับเศรษฐกิจแบบผสมสังคมนิยมอีกด้วย ซึ่งพระองค์ก็ได้ให้ความหมายว่าเป็น ลัทธินิยมโบนาปาร์ต ต่อมาในปี พ.ศ. 2387 พระปิตุลาของพระองค์ โฌเซฟ โบนาปาร์ตได้สิ้นพระชนม์ลง ทำให้พระองค์อยู่ในสายการสืบสันตติวงศ์ในการขึ้นครองราชย์ประเทศฝรั่งเศส ต่อมาพระองค์ก็ได้หลบหนีไปยังเมืองเซาธ์พอร์ท ประเทศอังกฤษ ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2389 โดยการเปลี่ยนฉลองพระองค์กับช่างก่ออิฐคนหนึ่ง (ซึ่งต่อมาศัตรูของพระองค์ได้เยาะเย้ยพระองค์โดยการตั้งชื่อเล่นให้พระองค์ว่า "บาแดงเกต์ (Badinguet) " ซึ่งเป็นชื่อของช่างก่ออิฐที่พระองค์สลับฉลองพระองค์ด้วย) หนึ่งเดือนต่อมาพระบิดาของพระองค์ หลุยส์ ได้สิ้นพระชนม์ลง ทำให้เจ้าชายหลุยส์-นโปเลียนเป็นรัชทายาทในราชสกุลโบนาปาร์ตอย่างปฏิเสธไม่ได้

ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส
เจ้าชายหลุยส์-นโปเลียนประทับอยู่ใน
สหราชอาณาจักรจนกระทั่งเกิดการปฏิวัติในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2391 ที่ประเทศฝรั่งเศส และมีการปลดหลุยส์-ฟิลิปป์ออกจากราชบัลลังก์และสถาปนาสาธารณรัฐฝรั่งเศสขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งพระองค์ก็สามารถนิวัติกลับประเทศฝรั่งเศส ซึ่งพระองค์ก็ได้กระทำเช่นนั้น พระองค์ได้ลงสมัครเลือกตั้งประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศส พ.ศ. 2391 และพระองค์ก็ได้เป็นประธานาธิบดีพระองค์แรกแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส แต่ไม่ได้รับการสนับสนุนมากนัก ทั้งถูกมองว่าเป็นนักปราศรัยระดับปานกลางและล้มเหลวในการทำให้สมาชิกประทับใจอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น หลายคนยังคิดว่าการที่พระองค์ประทับอยู่นอกประเทศฝรั่งเศสเป็นเวลานานทำให้พระองค์ตรัสภาษาฝรั่งเศสโดยมีสำเนียงเยอรมันแทรกเข้ามาด้วย
อย่างไรก็ตาม เมื่อรัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ 2 ได้ประกาศเป็นที่เรียบร้อยแล้วและมี
การเลือกตั้งในวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2391 ซึ่งเจ้าชายหลุยส์-นโปเลียนชนะด้วยคะแนนถล่มทลาย ด้วยคะแนนเสียงกว่า 5,454,000 (หรือประมาณ 75% ของทั้งหมด) ผู้สมัครคู่แข่งที่ได้คะแนนมาเป็นอันดับสองคือ หลุยส์ อูแชน กาวาญัค ซึ่งได้คะแนนเสียงไป 1,448,000 คะแนน หลุยส์-นโปเลียนไม่มีประสบการณ์ทางการเมืองมาก่อน พระองค์กล่าวว่าพระองค์เป็นดั่ง "ทุกสิ่งทุกอย่างของทุกคน" พวกนิยมกษัตริย์ขวา (ซึ่งสนับสนุนพระประยูรญาติราชวงศ์บูร์บงหรือออร์เล-อง) และชนชั้นกลางส่วนมากสนับสนุนพระองค์ด้วยเหตุผลที่ว่าพระองค์เป็น "ผู้สมัครที่แย่น้อยที่สุด" ซึ่งคาดหมายว่าพระองค์จะเป็นผู้รื้อฟื้นความแข็งแกร่งกลับคืนมา หลังจากเสถียรภาพของประเทศฝรั่งเศสสั่นคลอนหลังจากการปฏิวัติโค่นล้มกษัตริย์ในเดือนกุมภาพันธ์ และป้องกันการปฏิวัติสังคมนิยมอีกด้วย ในทางกลับกัน ชนชั้นล่างซึ่งทำงานในด้านอุตสาหกรรม สนับสนุนหลุยส์-นโปเลียนจากการแสดงมุมมองการปฏิรูปเศรษฐกิจที่ไม่สู้ชัดเจนนัก ในการชนะเลือกตั้งของพระองค์นั้น คะแนนส่วนมากมาจากมวลชนชนบทซึ่งไม่ได้รับความรู้ทางการเมือง

วันศุกร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

La liberté guidant le peuple.

La liberté guidant le peuple.
La Liberté guidant le peuple est un tableau très marquant d'Eugène Delacroix. Il s'est d'ailleurs trouvé sur des timbres postaux français et, de 1978 à 1997, sur le billet de banque de cent franc français.
Cette œuvre se retrouve dans une gravure représentant la Révolution de Juillet[réf. nécessaire]. Le personnage au chapeau, à l'origine un révolutionnaire sur des barricades, y est identique, et la femme au drapeau français y est représentée par un autre révolutionnaire tenant un drapeau rouge. Cette gravure originale à l'instar de « La Liberté guidant le peuple », s'est retrouvée sur un timbre soviétique.
Situation historique
Eugène Delacroix écrit à son frère le 18 octobre 1830 : « Si je n’ai pas vaincu pour la Patrie, au moins peindrai-je pour elle... ». Cette œuvre représente les Trois Glorieuses, un soulèvement populaire contre Charles X, qui dura trois jours, les 27, 28 et 29 juillet 1830. Charles X ayant instauré des lois liberticides, le peuple se révolta puis le renversa. Louis-Philippe le remplaça dans la « Monarchie de juillet ».
L'artiste lui-même appartient à une longue lignée de grands révolutionnaires, qu'a produite le « pays des révolutions ». Delacroix n'acceptait pas les normes de l'Académie. En peinture, il ne s'intéressait guère aux styles grecs et romains avec l'insistance sur le dessin et l'imitation des statues antiques. Delacroix privilégiait la couleur au dessin, l'imagination au savoir, la spontanéité du geste sur la maîtrise. Il voyagea beaucoup au Moyen-Orient et en Afrique du Nord. Les esquisses qu'il ramena lui fournirent un grand répertoire de thèmes (chasse au lion, scènes de guerre...).
Il s'agit d'une œuvre pleine de vitalité, d'action et d'audace. C'est l'union du peuple des faubourgs et de la bourgeoisie révolutionnaire, représentés par les personnages respectivement à la gauche et à la droite de la Liberté (de sa place).
Cette œuvre est assez imposante puisqu'elle mesure 3,25 m sur 2,60 m.
Le jeune garçon qui brandit un pistolet dans les airs a inspiré à Victor Hugo son personnage Gavroche dans Les Misérables qui a été écrit trente ans plus tard, le personnage au chapeau y est également représenté comme un fils d'aristocrate, révolutionnaire et ami de Gavroche et de Jean Valjean. C'est l'un des rares emprunts de la littérature à la peinture, dont la relation d'influences est généralement dans l'autre sens.
Sur le personnage au chapeau, à gauche de la Liberté, les critiques pensaient que Delacroix avait fait un autoportrait, mais de nos jours encore la question reste en suspens.
Les romantiques jouent beaucoup sur l'atmosphère. Dans ce cas, on se sent appelé, on sent qu'on fait partie du peuple.
Pour mieux saisir ce qui distingue le romantisme du courant précédent, si ce tableau avait été classique, la Liberté regarderait droit devant, elle serait plus centrée dans l'œuvre, elle serait juchée sur un socle, et non sur une pile de cadavres, et le drapeau qu'elle porte ne serait pas tronqué.
En France, ce tableau servit à illustrer les billets de banque de cent francs de 1978 à 1995, et la série de timbres d'usage courant « Liberté » de 1982 à 1990.
Anecdotes
Certains reconnaissent au jeune homme la figure de l'étudiant, car il porte la faluche, ce qui bien sûr historiquement est impossible puisque le tableau représente la Révolution de Juillet 1830 alors que la faluche n'est apparue qu'en 1888.
En 1999, lors d'un voyage pour une exposition de cinq semaines au Japon, les seins (découverts) de la Liberté furent masqués lors d'une escale dans le Golfe. Le cadre original du tableau a été cassé pendant ce même voyage. Le cadre de remplacement (simple) cache tous les bords de la toile.
En 2006, le gouvernement turc a demandé à l'éditeur d'un manuel scolaire de retirer cette illustration de son livre scolaire pour la même raison.
En 2006, l’État américain du Maine considère ce tableau, qui illustre l’étiquette de la bière des Sans-Culottes (brasserie La Choulette), comme « undignified or improper » (manquant de dignité ou indécent). La commercialisation de cette bière donne lieu à un débat sur la liberté d'expression dans le Maine et dans quatre autres États des États-Unis dont celui de New York
En 2008, le tableau sert à illustrer la pochette du quatrième album de Coldplay, intitulé Viva la Vida or Death and All His Friends en référence à un tableau de Frida Kahlo.
Le logo de Debout la République (DLR), parti politique de tendance gaulliste et républicaine, créé en 1993 et présidé par Nicolas Dupont-Aignan, reprend la silhouette du tableau.

วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ลูกแพนด้าตัวแรกในประเทศไทย


"หลินฮุ่ย" คลอดฟ้าผ่าลูกแพนด้าตัวแรกในประเทศไทย
เริ่มต้นวันนี้ด้วยข่าวดีๆ ที่ทำให้คนไทยยิ้มได้ในสถานการณ์บ้านเมืองที่ยุ่งเหยิงแบบนี้ ด้วยข่าวของการคลอดแบบสายฟ้าแลบของแพนด้าตัวแรกในประเทศไทย หลังเพิ่งผสมเทียมได้เพียง3เดือน!!
โดยรายงานจากจังหวัดเชียงใหม่ แจ้งว่า เมื่อเวลาประมาณ10.39น.วันนี้(27พ.ค.) “หลินฮุ่ย” แพนด้าตัวเมีย ทูตสันถวไมตรีไทย-จีน ตามโครงการวิจัยและจัดแสดงหมีแพนด้าในประเทศไทย ที่สวนสัตว์เชียงใหม่ ได้ให้กำเนิดลูกแพนด้าจำนวน1ตัว หลังจากที่ได้ทำการผสมเทียมโดยใช้น้ำเชื้อของ“ช่วงช่วง”หมีแพนด้าตัวผู้ เมื่อวันที่18ก.พ.2552ซึ่งเบื้องต้นยังไม่ทราบว่าลูกแพนด้ามีเพศใด เนื่องจาก “หลินฮุ่ย”มีอาการห่วงและกอดลูกไว้เกือบตลอดเวลาไม่ยอมให้เข้าใกล้ แต่ลูกแพนด้ามีสุขภาพแข็งแรงดีและน่าจะมีน้ำหนักไม่น้อยกว่า200กรัม
ทั้งนี้ หลินฮุ่ย เริ่มมีการแสดงอาการให้เห็นตั้งแต่ช่วงกลางดึกที่ผ่านมา จนกระทั่งคลอดลูกออกมาเมื่อช่วงสายวันนี้ โดยเมื่อคลอดออกมา หลินฮุ่ยได้คาบลูกมาไว้ในอ้อมกอดเป็นอย่างดี ซึ่งทำให้มีความมั่นใจในระดับหนึ่งว่า หลินฮุ่ย จะเป็นแม่ที่ดี และเลี้ยงลูกแพนด้าได้ แม้จะเป็นท้องแรกก็ตาม
อย่างไรก็ตามหลังจากการคลอดลูกแพนด้าครั้งนี้ จะต้องมีการติดตามดูแลอย่างใกล้ชิดต่อไป ว่า ลูกแพนด้าได้กินนมจากแม่หรือไม่ หากได้กินก็จะให้หลินฮุ่ยเลี้ยงต่อไป แต่ถ้าไม่ก็ต้องพยายามแยกลูกออกมาเพื่อป้อนนม ซึ่งจากการสังเกตเบื้องต้นเชื่อว่าลูกน่าจะได้กินนมไปบ้างแล้ว
สำหรับลูกแพนด้าที่ถือกำเนิดขึ้นภายใต้ความดูแลของโครงการวิจัยและจัดแสดงแพนด้าในประเทศไทยนั้น ถือว่าเป็นลูกแพนด้าที่เกิดขึ้นนอกประเทศจีนด้วยการผสมเทียมเป็นประเทศที่สาม ต่อจากสหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่นซึ่งได้แจ้งข่าวนี้ให้ทางจีนทราบแล้ว และจะมีผู้เชี่ยวชาญจากจีนเดินทางมาถึงสวนสัตว์เชียงใหม่ ในวันพรุ่งนี้ (28พ.ค.)เพื่อช่วยเหลือและให้คำแนะนำในการเลี้ยงดูลูกแพนด้า ร่วมกับทีมงานสัตวแพทย์และเจ้าหน้าที่ ที่ได้ไปอบรมการเลี้ยงดูมาแล้วจากจีน
ทั้งนี้ ตามสัญญาลูกแพนด้าตัวนี้ จะอยู่ในความดูแลของไทย 24เดือน จากนั้นจะถูกส่งกลับจีน อย่างไรก็ตาม อาจจะมีการเจรจาเพื่อขอขยายเวลาออกไปอีก ขณะที่การเปิดโอกาสให้ประชาชนได้ชื่นชมคงจะต้องปรึกษากับทางผู้เชี่ยวชาญจีนอีกครั้ง แต่น่าจะเป็นอีกประมาณ 6เดือน และจะมีการประกวดตั้งชื่อในเร็วๆ นี้
ในส่วนของการดูแลแพนด้าแม่ลูกนั้น สัตวแพทย์หญิง กรรณิการ์ นิ่มตระกุล สัตวแพทย์ประจำโครงการวิจัยและจัดแสดงแพนด้าในประเทศไทย กล่าวว่า ในช่วง 2สัปดาห์จากนี้ จะต้องมีการติดตามดูแลหลินฮุ่ยและลูกแพนด้าตลอดเวลา ว่า มีการให้นมลูกหรือไม่อย่างไร โดยหากลูกแพนด้าได้รับนมจากแม่ตลอด1 สัปดาห์ ก็จะมีสุขภาพแข็งแรงดี ซึ่งเบื้องต้นนับว่าเป็นสัญญาณที่ดีที่หลินฮุ่ยเลี้ยงและดูแลลูกตลอดเวลา จึงเชื่อว่าไม่น่าจะมีปัญหา
ส่วนการแยกลูกแพนด้านั้น หากเป็นแพนด้าที่เลี้ยงในประเทศจีน หากคลอดลูกแล้วจะทำการแยกจากแม่แพนด้า เมื่อลูกอายุได้ 6เดือน โดยที่แม่แพนด้าก็จะกลับไปเป็นเหมือนแพนด้าสาวอีกครั้งหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ในส่วนของหลินฮุ่ยและลูกนั้น เบื้องต้นทางทีมงานตั้งใจว่าจะปล่อยให้การเลี้ยงดูเป็นไปตามธรรมชาติ ที่ปกติแม่แพนด้าจะเลี้ยงดูลูกไปจนกว่าจะมีอายุประมาณ1 ปี6 เดือน ที่เริ่มกินไผ่ได้เองแล้ว
ด้าน นายประเสริฐศักดิ์ บุญตระกูลพูนทวี หัวหน้าโครงการจัดแสดงและวิจัยแพนด้าในประเทศไทย กล่าวว่า ในช่วงนี้ หลินฮุ่ย รวมทั้งลูกแพนด้า จะได้รับการดูแลอยู่แต่ภายในคอกกักเท่านั้น โดยจะยังไม่ปล่อยให้ออกมายังส่วนจัดแสดง อย่างไรก็ตาม เตรียมที่จะทำการติดตั้งโทรทัศน์แล้วถ่ายทอดสัญญาณภาพจากกล้องวงจรปิดมาให้นักท่องเที่ยว และประชาชนที่สนใจได้ร่วมกันชื่นชม จนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสมให้แพนด้าทั้งแม่และลูกออกมายังส่วนจัดแสดงได้

และในช่วงหัวค่ำของวันที่27ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ได้นำลูกแพนด้าออกมาวัดขนาดตัวและชั่งน้ำหนัก พบว่า มีน้ำหนัก 235กรัม ซึ่งหนักกว่ามาตรฐาน มีความยาวตั้งแต่หัวถึงหาง17.5เซนติเมตร รอบหัว 10เซนติเมตร และรอบอก 17.5เซนติเมตร ส่วนเพศยังไม่สามารถระบุแน่ชัดได้ เพราะอวัยวะเพศมีขนาดเล็กมาก แต่มีแนวโน้มมากว่าน่าจะเป็นตัวเมีย ซึ่งจะต้องรอให้ผู้เชี่ยวชาญจีนมาตรวจอย่างละเอียด
ถือว่าเป็นความสำเร็จและเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่งเลยนะคะ สำหรับการให้กำเนิดลูกแพนด้าตัวแรกในเมืองไทย พ่อชื่อช่วงช่วง แม่ชื่หลินฮุ่ย

วันอาทิตย์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ความรู้

ความรู้ คือความเข้าใจในเรื่องบางเรื่อง หรือสิ่งบางสิ่ง ซึ่งอาจจะรวมไปถึงความสามารถในการนำสิ่งนั้นไปใช้เพื่อเป้าหมายบางประการ ความสามารถในการรู้บางอย่างนี้เป็นสิ่งสนใจหลักของวิชาปรัชญา (ที่หลายครั้งก็เป็นเรื่องที่มีการโต้เถียงอย่างมาก) และมีสาขาที่ศึกษาด้านนี้โดยเฉพาะเรียกว่าญาณวิทยา (epistemology) ความรู้ในทางปฏิบัติมักเป็นสิ่งที่ทราบกันในกลุ่มคน และในความหมายนี้เองที่ความรู้นั้นถูกปรับเปลี่ยนและจัดการในหลาย ๆ แบบ

นิยามของความรู้

คำว่า ความรู้ (Knowledge) นั้น ในทัศนะของฮอสเปอร์ (อ้างถึงในมาโนช เวชพันธ์ 2532, 15-16) นับเป็นขั้นแรกของพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับความสามารถในการจดจำ ซึ่งอาจจะโดยการนึกได้ มองเห็น ได้ยิน หรือ ได้ฟัง ความรู้นี้ เป็นหนึ่งในขั้นตอนของการเรียนรู้ โดยประกอบไปด้วยคำจำกัดความหรือความหมาย ข้อเท็จจริง ทฤษฎี กฎ โครงสร้าง วิธีการแก้ไขปัญหา และมาตรฐานเป็นต้น ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า ความรู้เป็นเรื่องของการจำอะไรได้ ระลึกได้ โดยไม่จำเป็นต้องใช้ความคิดที่ซับซ้อนหรือใช้ความสามารถของสมองมากนัก ด้วยเหตุนี้ การจำได้จึงถือว่าเป็น กระบวนการที่สำคัญในทางจิตวิทยา และเป็นขั้นตอนที่นำไปสู่พฤติกรรมที่ก่อให้เกิดความเข้าใจ การนำความรู้ไปใช้ในการวิเคราะห์ การสังเคราะห์ การประเมินผล ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ได้ใช้ความคิดและความสามารถทางสมองมากขึ้นเป็นลำดับ ส่วนความเข้าใจ (Comprehension) นั้น ฮอสเปอร์ ชี้ให้เห็นว่า เป็นขั้นตอนต่อมาจากความรู้ โดยเป็นขั้นตอนที่จะต้องใช้ความสามารถของสมองและทักษะในชั้นที่สูงขึ้น จนถึงระดับของการสื่อความหมาย ซึ่งอาจเป็นไปได้โดยการใช้ปากเปล่า ข้อเขียน ภาษา หรือการใช้สัญลักษณ์ โดยมักเกิดขึ้นหลังจากที่บุคคลได้รับข่าวสารต่าง ๆ แล้ว อาจจะโดยการฟัง การเห็น การได้ยิน หรือเขียน แล้วแสดงออกมาในรูปของการใช้ทักษะหรือการแปลความหมายต่าง ๆ เช่น การบรรยายข่าวสารที่ได้ยินมาโดยคำพูดของตนเอง หรือการแปลความหมายจากภาษาหนึ่งไปเป็นอีกภาษาหนึ่ง โดยคงความหมายเดิมเอาไว้ หรืออาจเป็นการแสดงความคิดเห็นหรือให้ข้อสรุปหรือการคาดคะเนก็ได้
ประภาเพ็ญ สุวรรณ (อ้างถึงในอักษร สวัสดี 2542, 26) ได้ให้คำอธิบายว่า ความรู้ เป็นพฤติกรรมขั้นต้นที่ผู้เรียนรู้เพียงแต่เกิดความจำได้ โดยอาจจะเป็นการนึกได้หรือโดยการมองเห็น ได้ยิน จำได้ ความรู้ในชั้นนี้ได้แก่ ความรู้เกี่ยวกับคำจำกัดความ ความหมาย ข้อเท็จจริง กฎเกณฑ์ โครงสร้างและวิธีแก้ไขปัญหา ส่วนความเข้าใจอาจแสดงออกมาในรูปของทักษะด้าน “การแปล” ซึ่งหมายถึง ความสามารถในการเขียนบรรยายเกี่ยวกับข่าวสารนั้น ๆ โดยใช้คำพูดของตนเอง และ “การให้ความหมาย” ที่แสดงออกมาในรูปของความคิดเห็นและข้อสรุป รวมถึงความสามารถในการ “คาดคะเน” หรือการคาดหมายว่าจะเกิดอะไรขึ้น
เบนจามิน บลูม (Benjamin S. Bloom อ้างถึงในอักษร สวัสดี 2542, 26-28) ได้ให้ความหมายของ ความรู้ ว่าหมายถึง เรื่องที่เกี่ยวกับการระลึกถึงสิ่งเฉพาะ วิธีการและกระบวนการต่าง ๆ รวมถึงแบบกระสวนของโครงการวัตถุประสงค์ในด้านความรู้ โดยเน้นในเรื่องของกระบวนการทางจิตวิทยาของความจำ อันเป็นกระบวนการที่เชื่อมโยงเกี่ยวกับการจัดระเบียบ โดยก่อนหน้านั้นในปี ค.ศ. 1965 บลูมและคณะ ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับการรับรู้หรือพุทธิพิสัย (cognitive domain) ของคน ว่าประกอบด้วยความรู้ตามระดับต่าง ๆ รวม 6 ระดับ ซึ่งอาจพิจารณาจากระดับความรู้ในขั้นต่ำไปสู่ระดับของความรู้ในระดับที่สูงขึ้นไป โดยบลูมและคณะ ได้แจกแจงรายละเอียดของแต่ละระดับไว้ดังนี้
1. ความรู้ (Knowledge) หมายถึง การเรียนรู้ที่เน้นถึงการจำและการระลึกได้ถึงความคิด วัตถุ และปรากฏการณ์ต่าง ๆ ซึ่งเป็นความจำที่เริ่มจากสิ่งง่าย ๆ ที่เป็นอิสระแก่กัน ไปจนถึงความจำในสิ่งที่ยุ่งยากซับซ้อนและมีความสัมพันธ์ระหว่างกัน
2. ความเข้าใจหรือความคิดรวบยอด (Comprehension) เป็นความสามารถทางสติปัญญาในการขยายความรู้ ความจำ ให้กว้างออกไปจากเดิมอย่างสมเหตุสมผล การแสดงพฤติกรรมเมื่อเผชิญกับสื่อความหมาย และความสามารถในการแปลความหมาย การสรุปหรือการขยายความสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
3. การนำไปปรับใช้ (Application) เป็นความสามารถในการนำความรู้ (knowledge) ความเข้าใจหรือความคิดรวบยอด (comprehension) ในเรื่องใด ๆ ที่มีอยู่เดิม ไปแก้ไขปัญหาที่แปลกใหม่ของเรื่องนั้น โดยการใช้ความรู้ต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิธีการกับความคิดรวบยอดมาผสมผสานกับความสามารถในการแปลความหมาย การสรุปหรือการขยายความสิ่งนั้น
4. การวิเคราะห์ (Analysis) เป็นความสามารถและทักษะที่สูงกว่าความเข้าใจ และการนำไปปรับใช้ โดยมีลักษณะเป็นการแยกแยะสิ่งที่จะพิจารณาออกเป็นส่วนย่อย ที่มีความสัมพันธ์กัน รวมทั้งการสืบค้นความสัมพันธ์ของส่วนต่าง ๆ เพื่อดูว่าส่วนประกอบปลีกย่อยนั้นสามารถเข้ากันได้หรือไม่ อันจะช่วยให้เกิดความเข้าใจต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดอย่างแท้จริง
5. การสังเคราะห์ (Synthesis) เป็นความสามารถในการรวบรวมส่วนประกอบย่อย ๆ หรือส่วนใหญ่ ๆ เข้าด้วยกันเพื่อให้เป็นเรื่องราวอันหนึ่งอันเดียวกัน การสังเคราะห์จะมีลักษณะของการเป็นกระบวนการรวบรวมเนื้อหาสาระของเรื่องต่าง ๆ เข้าไว้ด้วยกัน เพื่อสร้างรูปแบบหรือโครงสร้างที่ยังไม่ชัดเจนขึ้นมาก่อน อันเป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยความคิดสร้างสรรค์ภายในขอบเขตของสิ่งที่กำหนดให้
6. การประเมินผล (Evaluation) เป็นความสามารถในการตัดสินเกี่ยวกับความคิด ค่านิยม ผลงาน คำตอบ วิธีการและเนื้อหาสาระเพื่อวัตถุประสงค์บางอย่าง โดยมีการกำหนดเกณฑ์ (criteria) เป็นฐานในการพิจารณาตัดสิน การประเมินผล จัดได้ว่าเป็นขั้นตอนที่สูงสุดของพุทธิลักษณะ (characteristics of cognitive domain) ที่ต้องใช้ความรู้ความเข้าใจ การนำไปปรับใช้ การวิเคราะห์และการสังเคราะห์เข้ามาพิจารณาประกอบกันเพื่อทำการประเมินผลสิ่งหนึ่งสิ่งใด
ความรู้คือ สิ่งที่มนุษย์สร้าง ผลิต ความคิด ความเชื่อ ความจริง ความหมาย โดยใช้ ข้อเท็จจริง ข้อคิดเห็น ตรรกะ แสดงผ่านภาษา เครื่องหมาย และสื่อต่าง ๆ โดยมีเป้าหมายและวัตถุประสงค์เป็นไปตามผู้สร้าง ผู้ผลิตจะให้ความหมาย
ความรู้มีโครงสร้างอยู่ 2 ระดับ คือ โครงสร้างส่วนบนของความรู้ ได้แก่ Idea ปรัชญา หลักการ อุดมการณ์ โครงสร้างส่วนล่างของความรู้ ได้แก่ ภาคปฏิบัติการของความรู้ ได้แก่องค์ความรู้ที่แสดงในรูปของ ข้อเขียน สัญญะ การแสดงออกในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ศิลปะ การเดินขบวนทางการเมือง โครงสร้างส่วนล่างของความรู้ มีโครงสร้างระดับลึกคือ ความหมาย (significant)
ความรู้และอำนาจ เป็นสิ่งเดียวกัน เพราะถูกผลิต และ เคลือบไว้ภายใต้รูปแบบ 2 รูปแบบ คือ 1. รูปแบบที่แสดงออกถึงความรุนแรง ได้แก่ ความรู้ทางด้านการปราบปราม การทหาร การควบคุมนักโทษ อาชญวิทยา การสงคราม จิตเวชศาสตร์ 2. รูปแบบที่แสดงออกถึงความไม่รุนแรง แต่แฝงไว้ด้วยความรุนแรง ได้แก่ ความรู้ทางด้านสื่อสารมวลชน การโฆษณา การตลาด ทฤษฎีบริหารธุรกิจ ทฤษฎีทางการเมือง ความรู้ทางการศึกษา การพัฒนาและทุกสิ่ง ที่ใช้การครอบงำความคิด ผ่านปฏิบัติการทางการสร้างความรู้เพื่อ กีดกัน/เบียดขับ/ควบคุม มนุษย์

วันพุธที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ประวัติภาษาฝรั่งเศส


ภาษาฝรั่งเศส
ภาษาฝรั่งเศส (ฝรั่งเศส: Français, อังกฤษ French) เป็นหนึ่งในภาษากลุ่มโรมานซ์ที่สำคัญที่สุด เป็นรองเพียงภาษาสเปนและโปรตุเกส ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาที่มีคนนิยมเป็นอันดับที่ 11 ของโลก โดยเมื่อปี พ.ศ. 2542 มีคนพูดภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาภาษาแม่ (ฟรองโกโฟน) ประมาณ 77 ล้านคน และเมื่อรวมคนที่พูดเป็นภาษาที่สองแล้วจะมีประมาณ 128 ล้านคน
ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาราชการ และภาษาที่ใช้ปกครองในชุมชนต่าง ๆ โดยเฉพาะประเทศที่เคยเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส รวมถึงองค์กรต่าง ๆ ด้วย (เช่น สหภาพยุโรป ไอโอซี องค์การสหประชาชาติ และ สหภาพสากลไปรษณีย์) ในสมัยก่อนภาษาฝรั่งเศสถือเป็นภาษาสากลที่แพร่หลายที่สุด โดยมีสถานะเฉกเช่นภาษาอังกฤษในปัจจุบัน หนังสือเดินทางของไทยก็เคยใช้ภาษาฝรั่งเศสควบคู่กับภาษาไทย
ประวัติ
ยุคเริ่มแรก
ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาในกลุ่มภาษาโรมานซ์ กล่าวคือ เป็นภาษาที่มีต้นกำเนิดจากภาษาละตินที่พูดกันในจักรวรรดิโรมันโบราณ ก่อนหน้าที่ดินแดนที่เป็นที่ตั่งประเทศฝรั่งเศสในปัจจุบันจะอยู่ใต้การปกครองของโรมัน ดินแดนดังกล่าวเคยอยู่ใต้การปกครองของพวกกอล ซึ่งเป็นหนึ่งในชนชาติเซลต์ ในสมัยนั้นดินแดนประเทศฝรั่งเศสมีคนที่พูดภาษาถิ่นต่าง ๆ กันหลายภาษา แม้ว่าชาวฝรั่งเศสจะชอบสืบที่มาของภาษาของตนไปถึงพวกโกล (les Gaulois) แต่มีคำในภาษาฝรั่งเศสเพียง 2,000 คำเท่านั้นที่มีที่มามาจากภาษาของพวกโกล ซึ่งโดยมากจะเป็นคำที่ใช้เป็นชื่อสถานที่ หรือเป็นคำที่มีความหมายเกี่ยวกับธรรมชาติ
หลังจากที่ชาวโรมันได้เข้ามายึดดินแดนของพวกโกล คนที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้นก็ได้เปลี่ยนมาพูดภาษาละติน ซึ่งภาษาละตินที่พูดกันในบริเวณนี้ ไม่ใช่ภาษาละตินชั้นสูงแบบที่พูดกันในหมู่ชนชั้นสูงของกรุงโรม แต่เป็นภาษาละตินของชาวบ้าน (vulgar latin) ที่พูดกันในหมู่พลทหาร นอกจากนี้ ภาษาละตินที่พูดกันอยู่ในฝรั่งเศสนั้น ก็ได้รับอิทธิพลจากภาษากอลอยู่พอควร เนื่องจากสิ่งของบางอย่างที่ใช้กันอยู่ในกอล พวกโรมันไม่มีชื่อเรียก จึงต้องขอยืมคำในภาษาโกลมาเรียกสิ่งของเหล่านั้น เช่น les braies ซึ่งแปลว่าเครื่องแต่งกายจำพวกกางเกงของชาวโกล

ยุคอาณาจักรแฟรงก์
หลังจากคริสต์ศตวรรษที่ 3 เป็นต้นมา จักรวรรดิโรมันก็เสื่อมอำนาจ ดินแดนหลายส่วนของจักรวรรดิโรมันตกอยู่ในเงื้อมมือของชนเผ่าป่าเถื่อนหลายพวก ชนเผ่าป่าเถื่อนที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในดินแดนที่เป็นประเทศฝรั่งเศสปัจจุบัน ได้แก่ ชนเผ่าแฟรงก์ที่อาศัยอยู่ทางเหนือ ชนเผ่าวิซิกอทที่อาศัยอยู่ทางใต้ ชนเผ่าเบอร์กันดีในบริเวณริมแม่น้ำโรน และชนเผ่าเอลแมนที่อาศัยอยู่บริเวณพรมแดนของประเทศฝรั่งเศสและเยอรมนี ชนเผ่าป่าเถื่อนเหล่านี้พูดภาษาในกลุ่มภาษาเยอรมนิก สำเนียงของชนเหล่านี้ได้ส่งผลต่อภาษาละตินที่เคยพูดอยู่เดิมในฝรั่งเศส และคำจากภาษาของชนป่าเถื่อน ได้แก่ คำที่มีความหมายเกี่ยวกับยุทธวิธีในการรบ และชนชั้นทางสังคม ได้ถูกนำมาใช้ในภาษาละตินที่พูดกันอยู่ในฝรั่งเศส โดยภาษาฝรั่งเศสปัจจุบันมีคำที่มีที่มาจากคำในภาษาของชนป่าเถื่อนอยู่ราว ๆ ร้อยละ 15

ภาษาฝรั่งเศสในยุคกลาง
นักภาษาศาสตร์ได้จัดจำแนกภาษาฝรั่งเศสที่พูดกันในยุคกลางออกเป็น 3 จำพวก คือ พวกแรกคือภาษาที่เรียกกันว่า Langue d'Oïl พูดกันอยู่ทางตอนเหนือของประเทศ พวกที่สองคือ Langue d'Oc ที่พูดกันอยู่ทางใต้ของประเทศ และพวกที่สามคือ Franco-Provençal ซึ่งเป็นการผสมผสานกันของสองภาษาแรก
Langue d'Oïl เป็นภาษาที่ใช้คำว่า oïl ในคำพูดว่า "ใช่" (ปัจจุบันใช้คำว่า oui) ในสมัยกลางภาษานี้จะพูดกันในตอนเหนือของประเทศฝรั่งเศส ซึ่งภาษานี้ได้พัฒนามาเป็นภาษาฝรั่งเศสในปัจจุบัน
Langue d'Oc เป็นภาษาที่ใช้คำว่า oc ในคำพูดว่า "ใช่" ภาษานี้พูดกันอยู่ทางตอนใต้ของฝรั่งเศสและทางเหนือของสเปน ซึ่งภาษานี้จะมีลักษณะคล้ายกับภาษาละตินมากกว่า Langue d'Oïl

ภาษาฝรั่งเศสยุคใหม่
นักวิชาการเรียกภาษาฝรั่งเศสที่พูดในช่วงก่อนหน้าปี พ.ศ. 1843 ซึ่งก็คือภาษา Langue d'Oïl ว่าเป็นภาษาฝรั่งเศสโบราณ เอกสารฉบับแรกที่เขียนขึ้นเป็นภาษาฝรั่งเศสโบราณ คือ "คำปฏิญาณแห่งทรัสบูร์ก" (Strasbourg) ซึ่งเขียนขึ้นในปี พ.ศ. 1385
ในปี พ.ศ. 2082 พระเจ้าฟรองซัวที่ 1 ได้ออกพระราชกฎษฎีกาที่กำหนดให้ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาทางการของฝรั่งเศสแทนที่ภาษาละติน และกำหนดให้ใช้ภาษาฝรั่งเศสในการบริหารราชการ ในราชสำนัก และในการพิจารณาคดีในศาล ในช่วงนี้ได้มีการปรับปรุงตัวสะกดและการออกเสียงในภาษาฝรั่งเศส นักวิชาการเรียกภาษาฝรั่งเศสในยุคนี้ว่า ภาษาฝรั่งเศสยุคกลาง ในศตวรรษที่ 17 หลังจากที่มีการกำหนดมาตรฐานภาษาฝรั่งเศสให้พูดสำเนียงเดียวกันทั่วประเทศ การปรับปรุงและการกำหนดหลักต่างๆ ของภาษา ก็ทำให้เกิดภาษาฝรั่งเศสที่เรียกกันว่าภาษาฝรั่งเศสยุคใหม่ ซึ่งพูดกันอยู่ในปัจจุบัน
ในปี พ.ศ. 2177 พระคาร์ดินัลรีเชอลีเยอ (Richelieu) ได้ก่อตั้งองค์กรที่เรียกว่า L'Académie Française (อากาเดมี ฟรองแซส หรือ วิทยสถานแห่งประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเปรียบได้กับราชบัณฑิตยสถานของไทย) เพื่อทำหน้าที่ดูแลรักษาภาษาฝรั่งเศสไว้ไม่ให้วิบัติ และคงภาษาฝรั่งเศสให้อยู่ในรูปแบบเดิมให้มากที่สุด หน้าที่สำคัญหน้าที่หนึ่งขององค์กรนี้ คือ การออกพจนานุกรม าฤฆิแสฤ๋ษฆิแวษjscb;AOSljkcb;
ในช่วงศตวรรษที่ 17-19 ฝรั่งเศสได้มีบทบาทสำคัญในการเมืองของทวีปยุโรป และเป็นศูนย์กลางของปรัชญารู้แจ้งที่แพร่หลายกันอยู่ในสมัยนั้น ทำให้อิทธิพลของภาษาฝรั่งเศสแผ่ออกไปกว้างขวางและกลายเป็นภาษากลางของยุโรป มีบทบาทสำคัฐทางการทูต วรรณคดี และศิลปะ มหาราชในยุคนั้นสองพระองค์ คือ พระนางแคทเธอรีนมหาราชินีแห่งรัสเซีย และพระเจ้าเฟรดริกมหาราชแห่งปรัสเซีย สามารถตรัสและทรงพระอักษรเป็นภาษาฝรั่งเศสได้ดี

ภาษาฝรั่งเศสในปัจจุบัน
ถูกแทรกซึมโดยอิทธิพลของภาษาอังกฤษที่แผ่ขยายอย่างกว้างขวาง มีการนำคำภาษาอังกฤษมาใช้ปะปนกับภาษาฝรั่งเศสเดิมอย่างแพร่หลาย ซึ่งมีผลเสียต่อการอนุรักษ์ภาษาฝรั่งเศส รัฐบาลได้ออกกฎหมายบางฉบับเพื่ออนุรักษ์ภาษาฝรั่งเศส โดยกำหนดให้ใช้คำจากภาษาฝรั่งเศสแท้ๆ ในโฆษณา ประกาศ และเอกสารราชการต่าง ๆ นอกจากนี้ยังกำหนดให้สถานีวิทยุทุกสถานี เปิดเพลงภาษาฝรั่งเศสอย่างน้อยร้อยละ 40 ของเพลงทั้งหมดที่เปิดในสถานีนั้น

สถานะของภาษาฝรั่งเศสในประเทศฝรั่งเศส
ฝรั่งเศสกำหนดให้ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาราชการของประเทศตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 รัฐบาลกำหนดให้เอกสารราชการ สัญญาต่าง ๆ การโฆษณาประชาสัมพันธ์ การศึกษา จะต้องทำเป็นภาษาฝรั่งเศส หากจำเป็นต้องใช้คำภาษาต่างประเทศ ก็ให้ใส่คำแปลเป็นภาษาฝรั่งเศสควบคู่กันไปด้วย
อย่างไรก็ดี ทางการไม่ได้ควบคุมการใช้ภาษาในเอกสารของเอกชน และในเว็บไซต์ของเอกชน ซึ่งหากทำการควบคุมแล้ว ก็อาจขัดต่อหลักการเสรีภาพในการพูดได้

สถานะของภาษาฝรั่งเศสในประเทศแคนาดา
ร้อยละ 12 ของคนที่พูดภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาแม่ในโลกนี้เป็นชาวแคนาดา และภาษาฝรั่งเศสเป็นหนึ่งในภาษาราชการสองภาษาของแคนาดา (อีกภาษาหนึ่งคือภาษาอังกฤษ) กฎหมายของแคนาดากำหนดให้บริการต่างๆของรัฐบาลกลางจะต้องจัดให้เป็นสองภาษาเสมอ กฎหมายต่างๆ ที่ผ่านรัฐสภา จะต้องแปลเป็นภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศส และฉลากผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่วางขายในแคนาดาจะต้องมีภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศส ร้อยละ 22 ของชาวแคนาดาใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาแม่ และร้อยละ 18 ของชาวแคนาดาสามารถพูดได้ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศส
ภาษาฝรั่งเศสมีสถานะเป็นภาษาราชการเพียงภาษาเดียวของรัฐควิเบก (เกเบก - Québec) มาตั้งแต่การบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยภาษาฝรั่งเศส (Bill 101) ผลสำคัญข้อหนึ่งของกฎหมายฉบับนี้คือกำหนดให้เด็กในควิเบกต้องได้รับการศึกษาเป็นภาษาฝรั่งเศส ยกเว้นถ้าบิดามารดาของเด็กคนนั้นได้รับการศึกษาส่วนใหญ่เป็นภาษาอังกฤษภายในประเทศแคนาดา ซึ่งเป็นการทำลายค่านิยมของผู้อพยพที่มักส่งบุตรหลานของคนเข้าเรียนในโรงเรียนที่สอนเป็นภาษาอังกฤษ กฎหมายนี้ยังกำหนดให้ใช้ภาษาฝรั่งเศสในการพิจารณาคดี โฆษณา การอภิปรายในสภา และการพิจารณาคดีในศาล ภายในควิเบก ในปี พ.ศ. 2536 กฎหมายนี้ได้รับการแก้ไข โดยอนุญาตให้เขียนป้ายสัญลักษณ์หรือโฆษณาต่าง ๆ เป็นภาษาอังกฤษได้บ้าง ตราบใดที่ยังมีภาษาฝรั่งเศสเป็นส่วนมาก นอกจากนี้ยังทำให้คนที่พูดภาษาอังกฤษแต่อาศัยในควิเบกสามารถรับบริการทางสุขภาพและบริการของรัฐเป็นภาษาอังกฤษได้
รัฐอื่น ๆ ที่ใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาราชการควบคู่ไปกับภาษาอังกฤษ ได้แก่รัฐนิวบรันสวิก ยูคอนเทร์ริทอรี นอร์ทเวสต์เทร์ริทอรีส์ และนูนาวุต ในรัฐออนแทรีโอ และแมนิโทบา ภาษาฝรั่งเศสไม่ได้มีสถานะเป็นภาษาราชการ แต่รัฐบาลของรัฐทั้งสองรัฐได้จัดการบริการต่าง ๆ เป็นภาษาฝรั่งเศสคู่กับภาษาอังกฤษ ในบริเวณที่มีคนที่พูดภาษาฝรั่งเศสอาศัยอยู่มาก

สถานะของภาษาฝรั่งเศสในประเทศสวิตเซอร์แลนด์
ภาษาฝรั่งเศสเป็นหนึ่งในภาษาราชการของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ภาษาอื่น ๆ ได้แก่ภาษาเยอรมัน ภาษาอิตาลี และภาษาโรมานช์